เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 4 เครดิตเนื้อหาจากพระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.



กสิณ  ๑๐

 

บรรยายโดยพระมหาไพจิตร อุตฺตมธมฺโม

เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.

 

 


 

เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ ๑๐

 

 

              กสิณ คืออารมณ์ของการปฏิบัติกรรมฐาน   เมื่อบุคคลเจริญกรรมฐานในลักษณะที่อาศัยธาตุทั้ง ๑๐ นำมาเป็นอารมณ์ ในการใช้เป็นกสิณหรือการเพ่งให้เกิดนิมิตขึ้น   แล้วอาศัยนิมิตทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ในสมัยก่อนพระอาจารย์ต่าง ๆ  จะอาศัยเพียงธาตุ ๔ เท่านั้นเป็นอุบายในการฝึก  ใช้กสิณในสิบอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องพิจารณา  บุคคลใดก็ตามเมื่อฝึกกสิณนี้จะต้องเป็นผู้มีใจเข้มแข็งมีความต่อเนื่องเป็นที่หวังได้ว่าบุคคลต่าง ๆ สามารถเข้าถึงฌานและอภิญญาอย่างแน่นอน  ถึงอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติเพ่งกสิณจำต้องรู้จักหาวิธีแก้ไขเพื่อป้องกันธาตุกรรมฐานแตก(กำเริบ)คือเมื่อท่านฝึกวิปัสสนาควบคู่กันไปด้วย  มิฉะนั้นจะทำให้ผู้ที่อาศัยการปฏิบัติถูกธาตุทำลายดังมีตัวอย่างหลายเรื่อง บางรูปถึงขั้นสติไม่ดี บางรูปคิดว่าตนเองได้บรรลุธรรมขั้นสูงและฆ่าตัวตายก็มีเพราะฉะนั้นการฝึกอบรมกสิณ  ๑๐  อย่างนี้มีทั้งคุณและโทษต่อบุคคลผู้ฝึกอยู่เป็นจำนวนมาก  ในขณะเดียวกันต้องใช้โยนิโสมนสิการคอยควบคุมในการฝึกหัดปฏิบัติแล้วพิจารณาให้รู้แจ้งแทงตลอดในอริยมรรค ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นแล้วพึงพิจารณาด้วยปัญญาในระหว่างประคองจิตในภวังคนิมิต นั้น ถ้าทำได้ดังนี้กรรมฐานก็จะไม่แตก ไม่มีโทษกับผู้ปฏิบัติ เช่นตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว บางรูปสามารถเข้าถึงธรรมขั้นรู้วาระจิตของคนอื่นเรียกว่า เจโตปริยญาณ สามารถกำหนดรู้ใจคนอื่นได้  จากตัวอย่างที่ยกมาก็สามารถทำให้เราเข้าใจได้ว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้นต้องรู้จักทางแก้รู้จักทางออกด้วยจึงจะทำให้เราเจริญกรรมฐานก็พัฒนาไปได้เร็วดังกสิณ  ๑๐  ที่ได้ยกมานี้ว่า

 

๑.   กสิณกัมมัฏฐาน  ๑๐  อย่างคือ

              กสิณกัมมัฏฐาน [1]  นั้นดังนี้

              ๑.   ปฐวีกสิณ                     กสิณสำเร็จด้วยดิน

              ๒.   อาโปกสิณ                    กสิณสำเร็จด้วยน้ำ

              ๓.   เตโชกสิณ                    กสิณสำเร็จด้วยไฟ

              ๔.   วาโยกสิณ                    กสิณสำเร็จด้วยลม

              ๕.   นีลกสิณ                       กสิณสำเร็จด้วยสีเขียว

              ๖.   ปีตกสิณ                       กสิณสำเร็จด้วยสีเหลือง

              ๗.   โลหิตกสิณ                   กสิณสำเร็จด้วยสีแดง

              ๘.   โอทาตกสิณ                  กสิณสำเร็จด้วยสีขาว

              ๙.   อาโลกกสิณ                  กสิณสำเร็จด้วยแสงสว่าง และ

             ๑๐.  ปริจฉินนากาสกสิณ       กสิณสำเร็จด้วยช่องว่างซึ่งกำหนดขึ้น

 

วิธีการพิจารณา กสิณ  ๑๐

กสิณ  ๑๐  มีรายละเอียดดังนี้คือ

 

๑.   ปฐวีกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยดิน

              การพิจารณาปฐวีกสิณ คือการพิจารณาดินเป็นอารมณ์ของใจดังมีใจความพิสดารว่า ภิกษุผู้ตัดปลิโพธ เล็กน้อยเสียได้อย่างนี้แล้ว กลับจากบิณฑบาต หลังอาหาร บรรเทาความเมาอาหารแล้ว นั่งอย่างสบาย  มหาฎีกาว่า นั่งสบายอย่างนั่งกรรมฐาน คือขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง ในโอกาสที่สงัด พึงถือเอานิมิตในดินที่แต่งขึ้นหรือไม่แต่งก็ได้ จริงอยู่ ข้อนี้พระโบราณาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า  "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาปฐวีกสิณ ถือเอานิมิตในดิน หรือมิได้แต่งขึ้นก็ตาม  แต่ต้องเป็นดินมี
ที่สุด คือมีกำหนดสัณฐานกลม ชักวงรอบได้ มิใช่กว้างใหญ่จนไม่มีที่สุด คือไม่มีกำหนดสุด สัณฐานไม่กลม ชักวงรอบไปไม่ได้ ขนาดเท่ากะโล่หรือเท่าชามอ่าง
  มหาฎีกาว่า ลืมตาดูจนถือเอานิมิตในดินนั้นได้แล้ว หลับตานึกดูนิมิตนั้นปรากฏเหมือนในขณะลืมตาดูเมื่อใดเมื่อนั้นชื่อว่า ทำให้เป็นอุคคหนิมิตนั่นเอง  กำหนดจดจำไว้อย่างดี ครั้นเธอทำนิมิตนั้นให้ขึ้นดีกำหนดจดจำไว้อย่างดีแล้ว จะเป็นผู้เห็นอานิสงส์ มีความสำคัญ  ในปฐวีนิมิตว่าเป็นดวงแก้วแล้วตั้งความยำเกรง ในนิมิตนั้นด้วยเห็นเป็นสำคัญไม่ปล่อยให้เสื่อมไปเสีย  รักนิมิตนั้นอยู่ ผูกจิตไว้มั่นในอารมณ์ คือนิมิตที่ขึ้นดีนั้นเธอสงัดจากกามทั้งหลายทีเดียว ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌานอยู่"[2]  ดังนี้

              พระโยคาวจรผู้ใดเคยบวชในพระศาสนาหรือว่าบวชเป็นฤษี ทำจตุกฌานหรือปัญจกฌานในปฐวีกสิณให้เกิดมาแล้วแม้ในอดีตภพ นิมิตในดินที่มิได้แต่ง ดังกล่าว  ในคำอรรถกถาโบราณนั้นคือในที่ดินที่เขาไถแล้วหรือในที่วงกลมแห่งลานนวดข้าวย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระโยคาวจรผู้มี  ภาวนามัย  บุญผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งภาวนา  เห็นปานนั้น ดุจพระมัลลกเถระ ได้ยินว่า เมื่อท่านองค์นั้น  เพ่งดูที่ดิน ที่เขาไถแล้วนิมิตขนาดเท่าที่ที่ดูเห็นนั้นได้เกิดขึ้นท่านขยายนิมิตนั้น   ยังปัญจกฌานให้เกิดแล้วเจริญวิปัสสนามีฌานเป็นบาทฐาน ได้บรรลุพระอรหัต

              ส่วนพระโยคาวจร ผู้ใดมิได้ทำ บุญญาธิการไว้อย่างนั้น พระโยคาวจรผู้นั้น อย่าพึงทำกรรมฐาน   วิธีที่เรียนมาในสำนักของอาจารย์ให้ผิดไป

              ความข้อนี้ท่านผู้รู้ทั้งหลายต้อง หมั่นทำความเข้าใจในกสิณปฐวีธาตุ การนำเอาดินมาเป็นเครื่องกำหนดนั้นในโบราณาจารย์ท่านใช้ดินแดงมีสีนวลเป็นสีมันปู นิยมนำมาใช้เป็นองค์ในการแต่งวงกระสิน อาจารย์ได้สอนให้ปั้นดิน ดังกล่าวแล้วให้ลูกดินที่ปั้นมีจุดศูนย์กลางประมาณ ๔ ๕ นิ้วตัดกระดาษทำเป็นวงไว้รอบดวงกสิณ เสร็จแล้วนำไปผึ่งแดดสักเล็กน้อย (ไม่ควรนำดินไปตากไว้กลางแจ้งนานๆ แต่นิยมให้ผึ่งไว้ในร่ม) เพราะจะทำให้ลูกกสิณแตกเสียหายได้ เมื่อเวลาเราจะเจริญอารมณ์ในกรรมฐานให้นั่งคู้เข่าแบบวิธีการฝึกเจริญสมาธิ แล้วบริกรรมว่า ปฐวี ปฐวี ดังนี้เรื่อยไป การบริกรรมต้องต่อเนื่อง อย่าให้ขาดสาย

              ก่อนการปฏิบัติธรรมทุกครั้ง   ทุกคนต้องชำระร้างร่างกาย และ จิตใจต้องไม่มีความวิตกกังวลก่อนการปฏิบัติทุกครั้งท่านเรียกว่า   กิจเบื้องต้น[3]  ของการเจริญกรรมฐาน

              ผู้หวังบำเพ็ญกรรมฐานเพื่อพัฒนาจิตของตน เมื่อได้ศึกษาหลักการปฏิบัติกรรมฐานจนเข้าใจดีแล้ว และเมื่อได้เลือกอารมณ์กรรมฐาน อันเหมาะกับจริตของตนได้แล้ว เว้นสิ่งที่ไม่เป็นสัปปายะและเลือกสิ่งที่เป็นสัปปายะ เช่น สถานที่และอากาสอันเหมาะสมแก่การปฏิบัติได้แล้ว ในวันหรือเวลาที่ลงมือปฏิบัติจะต้องทำกิจเบื้องต้นของตนให้สำเร็จเสียก่อนตามลำดับ ดังนี้

              ๑.   ตัดปลิโพธ

              ๒.   ตัดความกังวลเล็กน้อย

              ๓.   ชำระศีลให้บริสุทธิ์

              ๔.   ถวายตัวแด่พระพุทธเจ้าและแด่อาจารย์

              ๕.   ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

              ๖    แผ่เมตตา

              ๗.   เจริญมรณัสสติ

              ๘.   ระลึกถึงความจริงแห่งชีวิต

              ๙.   ระลึกถึงบุญของตน

            ๑๐.   อธิษฐานเจริญกรรมฐาน  

              ในที่นี้ จะกล่าวถึงกิจเบื้องต้นของการเจริญกรรมฐานเพียง  ๓  ข้อแรกเท่านั้น  ปลิโพธ หมายถึง  “ความเป็นห่วง ความกังวล ถ้าผู้ใดยังมีปลิโพธอยู่ก็ยากที่จะปฏิบัติกรรมฐานได้ เพราะ
ไม่อาจทำให้จิตเป็นสมาธิได้ เนื่องจากมัวกังวลถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่  ฉะนั้น เมื่อตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานแล้ว ผู้ปฏิบัติต้องตัดสินใจตัดความกังวลอย่างน้อยในขณะลงมือปฏิบัติ   ความกังวลหรือความห่วงนี้  ท่านรวบรวมไว้ทั้งหมดมีอยู่  ๑๐  ประการ  ดังข้อความในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค  ตอนกัมมัฎฐาน
คหณนิทเทสว่า

              อาวาโส  จ  กุลํ  ลาโภ                             คโณ  กมฺมญฺจ  ปญฺจมํ

              อทฺธานํ   ญาติ  อาพาโธ                          คนฺโถ  อิทฺธีติเมทส [4]

              ปลิโพธ ๑๐  ประการคือ ที่อยู่  ๑   ตระกูล   ๑   ลาภ   ๑   หมู่คณะ  ๑  

              การงาน  ๑   การเดินทาง  ๑    ญาติ  ๑   การเจ็บป่วย  ๑   การศึกษา  ๑  

              อำนาจ  ๑

 

วิธีแต่งวงกสิณชนิดเคลื่อนที่ได้

              ในวงกสิณ  ๒  ชนิดนั้น   ชนิดเคลื่อนที่ได้   พึงผูกท่อนผ้าเก่า หรือแผ่นหนัง   หรือเสื่อลำแพนก็ได้เข้าที่ไม้สะดึง ๔ อันแล้ว เอาดินที่เก็บรากหญ้า ก้อนกรวด และทรายหยาบออกแล้วขยำดีแล้วมาฉาบแต่งให้เป็นแผ่นกลมได้ขนาดดังกล่าวมาแล้ว ลงในท่อนผ้าเก่าหรือแผ่นหนัง หรือเสื่อลำแพนที่ตรึงไว้นั้นวงกสิณชนิดเคลื่อนที่ได้นั้น เวลาจะบริกรรม พึงวางราบลงที่พื้นแล้วจึงเพ่งดู

              จากคำกล่าวนี้ หลังจากที่เราได้เริ่มบริกรรม ทำตามหลักที่อาจารย์ได้แนะนำเราต้องพยายามจำรูปลักษณ์สีผิวของดินให้ได้ขึ้นใจ เพราะนั่นเป็นเทคนิคการเจริญพระกรรมฐานในข้อที่ว่านี้

 

วิธีแต่งวงกสิณชนิดตั้งอยู่กับที่

              วงกสิณชนิดตั้งอยู่กับที่ พึงตอกหลักเข้าหลาย ๆ  อันลงที่พื้นดินโดยอาการแห่งฝักบัว คือตอกให้ข้างล่างสอบข้างบนผายโดยรอบ สัณฐานดังฝักบัว แล้วตรึงหลักเหล่านั้นให้ติดกันด้วยเถาวัลย์แต่งเป็นโครงขึ้น  การแต่งกสิณชนิดนี้เห็นจะต้องมีกัปปิยการกช่วยทำ เพราะมีการขุดดินและตัดเถาวัลย์  ผิว่าดินในที่นั้นไม่พอ พึงใช้ของอื่นรองข้างล่างแล้ว จึงแต่งกสิณให้มีสัณฐานกลมกว้างประมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว ด้วยดินสีอรุณที่ชำระดีแล้วลงข้างบน อันที่จริงคำว่า " ขนาดเท่ากะโล่หรือขนาดเท่าชามอ่าง" นั้นพระโบราณาจารย์กล่าวหมายเอาประมาณ ๑  คืบ  ๔ นิ้ว นี้นั่นเองส่วนคำว่า"เป็นดินมีที่สุดมิใช่กว้างใหญ่จนไม่มีที่สุด " เป็นต้น

             

              ปลูกความอุตสาหะขึ้นด้วยความหวังว่า"เราจะต้องเป็นผู้มีส่วนแห่งรสของปวิเวกสุข ด้วยข้อปฏิบัตินี้เป็นแน่แท้"ดังนี้แล้วลืมตาดูโดยอาการพอดี( เพ่งดู)ถือเอานิมิตภาวนาไป เพราะผู้เหลือกตา (ดู)ตาจะเมื่อยและดวงกสิณจะปรากฏเกิน( จริง)ไปด้วยโดยวิธีนั้นนิมิต(แท้)ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เธอผู้หรี่ตา(ดู) ดวงจะไม่ชัดซ้ำจิตก็จะหดหู่ไปเสียด้วยแม้โดยวิธีอย่างนี้นิมิต(แท้ )ก็ไม่เกิด( เหมือนกัน ) เพราะเหตุนั้น  ต้องลืมตาโดยอาการพอดี  (เพ่งดู)  ถือเอานิมิตภาวนาไป  ดุจดูนิมิตแห่งหน้า (ของตน) ที่หน้าแว่น ฉะนั้น ไม่ต้องพิจารณาสี ไม่ต้องใส่ใจถึงลักษณะ (แห่งปฐวีนิมิตนั้น)   แต่ว่าจะทิ้งสีเสียก็ไม่ได้พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัย (ของมันคือนึกเสียว่า สีนั้นเป็นอันเดียวกับดินซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน แยกกันไม่ออก )

              ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม  (คือโลกโวหาร) มนสิการไปโดย  อุสทโวหาร (คือ คำที่ขึ้นปากพูดกันมาก)  บรรดาชื่อของดินทั้งหลาย เช่น ปฐวี มหี เมทนี ภูมิ วสุธา วสุนฺธราพระโยคาวจรชอบ
ชื่อใดชื่อใดเป็นคำอนุกูลแก่สัญญา
(คือช่วยให้กำหนดจดจำง่าย ) สำหรับเธอก็พึงว่าชื่อนั้นก็แต่ว่าชื่อคือปฐวีนั่นแหละเด่นเพราะฉะนั้นพึงภาวนาว่า ปฐวี ปฐวี โดยเป็นชื่อเด่นอย่างเดียวเถิดพึงลืมตา
ดูพักหนึ่งแล้วหลับตานึกหน่วงดูพักหนึ่ง  สลับกันไป อุคคหนิมิตยังไม่เกิดขึ้นเพียงใด พึงภาวนาโดยนัยนั้นแลเพียงนั้นแม้๑๐๐พัก ๑
,๐๐๐พัก แม้ยิ่งกว่านั้นก็ดีเมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้น ในขณะใดหลับตานึกหน่วงดู นิมิตมาสู่คลอง  แห่งมโนทวาริกชวนะ หมายถึง นิมิตนั้นเข้ามาสู่ใจ เห็นนิมิตนั้นด้วยใจ ดุจในเวลาลืมตา ในขณะนั้นชื่อว่าอุคคหนิมิตเกิดแล้ว ตั้งแต่เวลาที่อุคคหนิมิตนั้นเกิดแล้วไปไม่พึงนั่งในที่นั้น พึงเข้าไปสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งในที่อยู่ของตนนั้นภาวนาต่อไป  มหาฎีกาว่าถ้าเมื่ออุคคหนิมิตเกิดแล้ว ยังดูวงกสิณ ภาวนาอยู่อีก ปฏิภาคนิมิตก็ไม่เกิด แล้วนั่งอยู่ใกล้เช่นนั้น
ก็อดดูไม่ได้ท่านจึงแนะให้ย้ายที่เสีย

 

๒.   อาโปกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยน้ำ

  ต่อไปนี้เป็นวิตถารกถาในอาโปกสิณ ในลำดับแห่งปฐวีกสิณ ก็แลพระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญปฐวีกสิณ เป็นผู้นั่งให้สบายฉันใดเล่า แม้ผู้จะเจริญอาโปกสิณก็พึงเป็นผู้นั่งให้สบายฉันนั้น แล้วถือเอานิมิตให้น้ำเถิด  บททั้งปวงว่า  กเต  วา  อกเต  วา   นิมิตที่แต่งขึ้นก็ดี ที่มิได้แต่งขึ้นก็ดี  เป็นต้น บัณฑิตพึงนำมากล่าวให้พิสดารตามนัยที่กล่าวแล้วในปวีกสิณ

              อนึ่ง บททั้งปวงนั้นพึงนำมากล่าวให้พิสดารในอาโปกสิณนี้ฉันใด  ในกสิณทั้งปวงก็พึงให้พิสดารฉันนั้นเถิดเพราะว่าต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวคำ (กเต  วา  ฯ  เป ฯ  วิตฺถาเรตพฺพํ) เพียงเท่านี้อีก กล่าวแต่คำที่แปลกออกไป แม้ในอาโปกสิณนี้ นิมิตในน้ำที่มิได้แต่ง คือน้ำในสระ ในบึง หรือในทะเล ในสมุทรก็ตาม ย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระโยคาวจรผู้มีบุญ มีอธิการได้สร้างไว้ในปางก่อนแท้

              เมื่อจะหลีกละกสิณโทษทั้ง  ๔  อย่าพึงถือเอาน้ำที่มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว สีใดสีหนึ่ง ส่วนน้ำฝนใดตกลงมายังไม่ถึงพื้นดิน  บุคคลรองเอาในอากาศด้วยผ้าสะอาด   หมายถึงผ้าไม่มีสี เพราะถ้าเป็นผ้ามีสี สีอาจตกทำให้น้ำกลายเป็นน้ำสีไปไม่ใสสะอาด หรือน้ำอื่นที่ใสสะอาดอย่างนั้นก็ได้ พึงบรรจุน้ำนั้นให้เต็มบาตรหรือกุณฑี (หม้อน้ำ) เสมอขอบปากแล้ว นำไปตั้งในที่ว่างที่กำหนด มีประการดังกล่าวแล้ว นั่งให้สบาย ไม่ต้องพิจารณาสีของน้ำ ไม่ต้องใส่ใจลักษณะของอาโปธาตุ พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัยของมัน คือนึกเสียว่าสีนั้นเป็นอันเดียวกันกับน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน  ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรมคือโลกโวหาร ตามที่เป็นคำใช้กันมาก ภาวนาไปว่า   อาโป  อาโป  โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของน้ำทั้งหลาย  เช่น  อมฺพุ  อุทกํ  วาริ สลิลํ   เมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้น นิมิตทั้ง ๒ ย่อมจะเกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นโดยลำดับแต่ว่าในอาโปกสิณนี้อุคคหนิมิตจะปรากฏเหมือนว่ายังไหวอยู่ ถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำเจือด้วยฟองด้วยต่อม อุคคหนิมิตก็จะปรากฏเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ชื่อว่ากสิณโทษปรากฏ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นดวงนิ่งแจ๋วเหมือนพัดใบตาลแก้วที่คนวางไว้ในอากาศ และเหมือนวงแว่นแก้วฉะนั้น พร้อมกับความปรากฏแห่งปฏิภาคนิมิตนั้นแหละพระโยคาวจรนั้น ก็จะบรรลุอุปจารฌาน และจตุกฌาน ปัญจกฌาน โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล

 

๓.  เตโชกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยไฟ

              ฝ่ายพระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญเตโชกสิณ[5] พึงถือเอานิมิตในไฟ ในเตโชกสิณนั้น สำหรับพระโยคาวจรผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ เมื่อถือเอานิมิตในไฟที่มิได้แต่ง แลดูเปลวไฟที่ตะเกียงที่เตาที่ ๆ ระบมบาตรหรือที่ไฟไหม้ป่าที่ใดที่หนึ่งก็ตามนิมิตก็เกิดขึ้นได้ดังพระจิตตคุตตเถระ ฉะนั้น เล่ากันว่าเมื่อท่านผู้นั้นเข้าไปสู่โรงอุโบสถในวันธรรมสวนะ แลดูเปลวตะเกียงเท่านั้น นิมิตก็เกิดขึ้น ส่วนพระโยคาวจรนอกนี้ คือผู้ไม่มีบุญญาธิการ ต้องแต่งกสิณนิมิตขึ้น นี้เป็นวิธีทำ ในการแต่งกสิณนิมิตนั้น  พึงผ่าฟืนไม้แก่นที่แห้งสนิท ไม่มียางแล้วผึ่งแดดไว้แล้ว ตัดทำเป็นท่อน ๆ  หอบไปสู่โคนไม้หรือมณฑปที่เหมาะสมกองฟืนเข้าโดยอาการดุจระบมบาตร ก่อไฟขึ้น แล้วทำให้เป็นช่อง กว้าง ประมาณคืบ ๔ นิ้ว เป็นวงกลม เข้าที่เสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังหรือผืนผ้าก็ได้

              ตั้งเสื่อลำแพน หรือแผ่นหนัง หรือผืนผ้านั้นไว้ข้างหน้า นั่งโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแลอย่าใส่ใจถึงหญ้า และไม้ข้างใต้ช่อง หรือควันและเปลวข้างบนช่อง ถือเอานิมิตที่เปลวทึบตรงกลางช่อง ไม่ต้องพิจารณาสีของไฟ โดยว่ามันเป็นสีขาว หรือว่าสีเหลืองเป็นต้น ไม่ต้องใส่ใจลักษณะของเตโชธาตุ โดยว่ามันร้อน พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัยของมัน คือนึกเสียว่าสีนั้นมันเป็นอันเดียวกันกับไฟซึ่งที่อาศัยของมัน ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม คือโลกโวหาร ตามที่เป็นคำใช้กันมากภาวนา  เตโช  เตโช โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของไฟทั้งหลาย เช่น  ปาวโก  กณฺหวตฺต  นิชาตเวโท  หุตาสโน   เมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้นนิมิตทั้ง  ๒ ย่อมจะเกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นโดยลำดับ

 

๔.   วาโยกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยลม

              พระโยคาวจรแม้นใคร่จะเจริญพึงถือเอานิมิตในลม ก็แลนิมิตในลมนั้น พึงถือเอาได้ทางเห็นบ้าง ทางถูกต้องบ้าง เพราะคำ ต่อไป  นี้ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า " พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาวาโยกสิณย่อมถือเอานิมิตในลม คือกำหนดเอายอดอ้อยที่ไหวไปมา หรือกำหนดเอายอดไผ่ หรือยอดไม้หรือปลายผมที่ไหวไปมาก็ได้ กำหนดเอาลมอันพัดมาต้องที่กายก็ได้ " ดังนี้

              เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรผู้เจริญวาโยกสิณ เห็นต้นอ้อยก็ดี กอไผ่ก็ดี ต้นไม้ก็ดี ที่มีใบหนาตั้งอยู่ สูง เพียงศีรษะจะได้เพ่งดูตรงๆ ตามสบาย ไม่ต้องแหงน ไม่ต้องก้ม หรือผมของคนที่มีผมหนายาวประมาณ๔องคุลีก็ดี ผมสั้นไป ต้องลมก็ไม่ไหว ถ้ายาวไปก็ห้อยเสีย ถ้าบางไปก็ลู่ตามลม ไม่ปรากฏอาการต้องลมเพราะฉะนั้นท่านจึงกำหนดเอา ๔ องคุลี ๔ นิ้ว ไม่สั้น ไม่ยาวและหนาด้วย อาการต้องลมจะได้ปรากฏคือไหวไปมาได้ที่ลมพัดอยู่ พึงตั้งสติระลึกว่า "ลมนี่พัดที่นั่น" ก็หรือว่า ลมเข้าทางช่องหน้าต่างบ้างช่องฝาบ้างมาต้องร่างกายของเธออันใดพึงตั้งสติในลมอันนั้นภาวนาว่า  วาโย   วาโย  โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของลมทั้งหลาย เช่น วาตะ มาลุตะ อนิละ อุคคหนิมิตในวาโยกสิณนี้ปรากฏยังเป็นนิมิตไหวเช่นกับกลุ่มไอร้อน แห่งข้าวปายาสที่เพิ่งปลงลงจากเตา ส่วนปฏิภาคนิมิตเป็นดวงนิ่งแน่วคำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นเทอญ

              ในส่วนที่เป็น วาโยกสิณนี้ ท่านให้ เรานั่งหลับตาและพิจารณาอาการที่มากระทบร่างกายเรียกผัสสะเวทนา เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ในลักษณะต่าง ๆ นั้นแล้วให้เราทำความรู้สึกว่ามันร้อน มันหนาวมันเย็นอย่างไร แล้วก็ค่อย ๆเจริญ กรรมฐานด้วยการบริกรรม ว่า  วาโย  วาโย   ดังนี้เป็นต้น

 

๕.   นีลกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยสีเขียว

              ส่วนกสิณถัดนั้นไป บัณฑิตพึงทราบดังนี้โดยคำในอรรถกถาทั้งหลายว่า "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอา นีลกสิณ ย่อมถือเอานิมิตในสีเขียวคราม เป็นดอกไม้บ้าง  เป็นผ้าบ้าง  เป็นธาตุสีบ้าง" ดังนี้  สำหรับผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ก่อน เพียงได้เห็นกอดอกไม้อันมีสีอย่างนั้น หรือพรมดอกไม้อันมีสีอย่างนั้นในที่บูชาหรือผ้าเขียว อย่างใดอย่างหนึ่ง  นิมิตก็เกิดขึ้นได้

              พระโยคาวจรที่ไม่มีบุญ พึงถือเอาดอกไม้ มีดอกนีลอุบล และดอกคิริกัณณิกา เป็นต้น มาเรียงเข้าให้เต็มผอบหรือเรียบเสมอขอบปากทั้งใบด้วย โดยวิธีที่เกสรก็ดี ขั้วก็ดี ไม่ปรากฏ หรือใช้ผ้าสีเขียวผูกเข้าเป็นห่อของบรรจุลงไปก็ได้ หรือใช้ผ้าสีเขียวนั้นผูกขึงเข้าที่ขอบปากมันให้เป็นดุจหน้ากลองก็ได้ หรือใช้ธาตุสี  มีเขียวเหมือนสำริด เขียวเหมือนใบไม้ และเขียวเหมือนดอกอัญชัน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งทำให้เป็นกสิณมณฑล ชนิดเคลื่อนที่ได้ ตามนัยที่กล่าวแล้วในปฐวีกสิณหรือ ติดไว้ ที่ฝาเลยก็ได้ แล้วตัดโดยรอบด้วยสีที่แตกต่างแต่นั้น มนสิการว่า  นีลํ  นีลํ  พระโยคาวจรพึงให้เป็นไปโดยนัยอันกล่าวแล้วในปฐวีกสิณเถิด แม้ในนีลกสิณนี้

 

คำว่า  เพ่ง  หรือดูกสิณ

              คำว่า  เพ่ง  หรือดูกสิณ[6]   นั้นคำว่าดู หมายถึงดูด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ดูด้วยตาเนื้อ และ คำว่าเพ่งก็ดี พิจารณาก็ดี หรือคำว่า กำหนด กับคำว่า ดูนั้นโดยความหมายในการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้เป็นอย่างเดียวกัน คือรู้สึกตัวอยู่กับอารมณ์รูป นามที่เป็นปัจจุบันด้วยสติสัมปชัญญะ และที่ใช้คำว่าดู ก็เพราะเห็นว่าเป็นความเหมาะสมแก่การทำความเข้าใจง่าย คือคำว่าดูนั้นมีลักษณะที่เป็นปัจจุบัน โดยตัดอดีต ตัดอนาคต ดีกว่าคำอื่น เช่นผู้ปฏิบัติมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ
ดูรูปกับนามให้เหมือนกับดูละคร  ละครคือรูป  หรือนาม อะไรก็ตามเขาแสดงอย่างไรก็ดูไป
  จากคำกล่าวข้างต้นนี้ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพพจน์ คำพูดหรือคำเพียงคำเดียวกับมีคุณค่ามหาศาล ต่อความเข้าใจในหัวข้อธรรมอย่างแจ่มชัด

 

๖.    ปีตกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยสีเหลือง

              นัยแม้ในปีติกสิณก็ดุจนัยนั้นสมตามคำอรรถกถาที่กล่าวไว้ว่า  "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอา
ปีตกสิณ  ย่อมถือเอานิมิต  ในสีเหลือง ในดอกไม้บ้าง  ในผ้าบ้า ง ในธาตุสีบ้าง" ดังนี้  เพราะเหตุนั้น  แม้ในปีติกสิณนี้ สำหรับผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ เพียงได้เห็นกอดอกไม้หรือพรมดอกไม้ อันมีสีอย่างนั้นหรือผ้าสีเหลืองธาตุสีเหลืองอย่างใดอย่างหนึ่งนิมิตก็เกิดขึ้นได้ดุจพระจิตตคุตตเถระ ฉะนั้น

              ได้ยินว่า   เมื่อท่านผู้นั้นแลดู   เครื่องบูชาบนแท่นบูชาที่แล้วด้วยดอกปัตตังคะทั้งหลาย  ณ  จิตตลบรรพตวิหาร  นิมิตขนาดเท่าแท่นบูชาเกิดขึ้นพร้อมกับการแลดูนั่นเอง ส่วนพระโยคาจรนอกนี้  พึงใช้ดอกไม้ มีดอกกัณณิการ์เป็นต้น หรือใช้ผ้าสีเหลือง หรือธาตุสีเหลืองก็ได้ ทำกสิณมณฑล แล้วยังมนสิการว่า  ปีตกํ  ปีตกํ  ให้เป็นไปโดยนัยที่กล่าวแล้วในนีลกสิณนั้นเถิด คำที่เหลือก็เช่นเดียวกันนั้นแล

 

๗.    โลหิตกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยสีแดง

              นัยแม้ในโลหิตกสิณก็ดุจนัยนั้น  สมคำอรรถกถาที่กล่าวไว้ว่า  "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาโลหิตกสิณ ย่อมถือเอานิมิตในสีแดง ในดอกไม้บ้าง ในผ้าบ้าง ในธาตุสีบ้าง" ดังนี้ เพราะเหตุนั้น แม้ในโลหิตกสิณนี้ สำหรับผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ เพียงได้เห็นกอดอกไม้ เช่นดอกหงอนไก่ หรือพรมดอกไม้ อันมีสีอย่างนั้น หรือผ้าแดงธาตุสีแดง อย่างใดอย่างหนึ่ง นิมิตก็เกิดขึ้นได้ ส่วนพระโยคาวจรนอกนี้ ที่ไม่มีบุญ พึงใช้ดอกไม้  เช่น  ดอกชะบาหงอนไก่ และหญ้าหางช้างแดง หรือผ้าสีแดง หรือธาตุสีแดง ก็ได้ ทำกสิณ มณฑล แล้วยังมนสิการว่า  โลหิตกํ  โลหิตกํ  ให้เป็นไปโดยนัยที่กล่าวแล้วใน  นีลกสิณนั้นเถิด คำพรรณนาที่เหลือก็เช่นเดียวกัน นั้นแล

 

๘.   โอทาตกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยสีขาว

              แม้ในโอทาตกสิณ ก็พึงทราบนัยดังนี้ โดยคำในอรรถกถา ว่า "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาโอทาตกสิณ ย่อมถือเอานิมิตในสีขาว ในดอกไม้บ้าง ในผ้าบ้าง ในธาตุสีบ้าง"  ดังนี้ว่า สำหรับผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ก่อน เพียงแต่ได้เห็นกอดอกไม้อันมีสีอย่างนั้น หรือพรมดอกไม้ มีดอกมะลิซ้อน เป็นต้น หรือกองดอกบัวขาว ที่เขาขนจากที่บูชาไปทิ้งๆ ไว้ หรือผ้าขาว ธาตุสีขาวอย่างใดอย่างหนึ่ง นิมิตก็เกิดขึ้นได้ แม้ในแผ่นดีบุกกลม แผ่นเงินกลม และดวงจันทร์เพ็ญ นิมิตก็เกิดได้เหมือนกัน  ส่วนพระโยคาวจรนอกนี้ที่ไม่มีบุญ พึงใช้ดอกไม้ขาว หรือผ้าขาว หรือธาตุสีขาวก็ได้ ทำกสิณมณฑล แล้วยังมนสิการว่า  โอทาตํ  โอทาตํ  ให้เป็นไปโดยนัยที่กล่าวแล้วในนีลกสิณนั้นเถิด   คำที่เหลือก็เช่นเดียวกันนั้นแล

 

๙.   อาโลกกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยแสงสว่าง

              ส่วนนัยในอาโลกกสิณพึงทราบดังนี้ โดยคำในอรรถกถาว่า "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาอาโลกกสิณย่อมถือเอานิมิต ในแสงที่ช่องฝาบ้าง ที่ช่องดาลบ้าง ที่ช่องหน้าต่างบ้าง"  ดังนี้ว่า  สำหรับผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้ก่อนเพียงแต่ได้เห็นแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์เข้ามาทางช่อง มีช่องฝาเป็นต้น ช่องใดช่องหนึ่งแล้วทำให้เกิดเป็นดวงขึ้นที่ฝาหรือที่พื้นก็ดี ลอดระหว่างกิ่งต้นไม้ที่มีใบทึบ  ทำให้เกิดเป็นดวงขึ้นที่พื้นดินนั่นก็ดี  เท่านั้นนิมิตก็เกิดขึ้นได้แม้พระโยคาวจรนอกนี้   ก็พึง เพ่งดู ดวงแสงมีประการดังกล่าวแล้วนั้นแหละ ภาวนาไปว่า โอภาโส  โอภาโส หรือว่า อาโลโก   อาโลโก ก็ได้  เมื่อไม่อาจทำ อย่างนั้นได้ พึงตามประทีปเข้าไว้ในหม้อ ปิดปากหม้อเสีย  ทำช่องเข้าที่ ข้าง หม้อแล้วตั้งหันหน้า ช่อง เข้าฝา แสงประทีปออกทางช่องนั้น ทำให้เป็นดวงขึ้นที่ฝา พึงเพ่งดู ดวงแสงนั้น ภาวนาไปว่า  อาโลโก  อาโลโก   ดวงแสงนี้อยู่ได้นานกว่าดวงแสงนอกนั้น  ที่กล่าวมาข้างต้น อุคคหนิมิตในอาโลกกสิณนี้ก็เป็นเช่นเดียวกับดวงที่ติดอยู่ที่ฝาหรือที่พื้นนั่นเอง ส่วนปฏิภาคนิมิตเป็นดวงหนาและใสคล้ายกับก้อนแสง คำพรรณนาที่เหลือก็เช่นเดียวกันนั้นแล

 

๑๐.   ปริจฉินนากาสกสิณ   กสิณสำเร็จด้วยช่องว่างซึ่งกำหนดขึ้น

              แม้ในปริจฉินนากาสกสิณ โดยคำในอรรถกถาว่า  พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาอากาสกสิณ ย่อมถือเอานิมิตในอากาศที่ช่องฝาบ้าง ที่ช่องดาลบ้าง ที่ช่องหน้าต่างบ้าง " ดังนี้ สำหรับผู้มีบุญ
มีอธิการได้สร้างไว้ก่อนเพียงแต่ได้เห็นอากาสที่ช่องต่าง ๆ มีช่องฝาเป็นต้นนิมิตก็เกิดขึ้นได้
(ส่วน พระโยคาวจรนอกนี้ พึงทำช่องขนาดคืบ  ๔  นิ้วเข้าที่ฝา โรงที่มุงมิดชิดหรือที่(แผ่น)หนังและเสื่อลำแพนเป็นต้น  อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว  เพ่งดู ช่องอันต่างโดยเป็นช่องฝาเป็นต้นนั้นแล ภาวนาไปว่า  อากาโส  อากาโส  (ว่าง ว่าง)  อุคคหนิมิตในอากาสกสิณนี้ ก็เป็นดวง  เหมือนกับช่อง พร้อมทั้งสิ่งที่เนื่องด้วยช่อง  มีขอบฝาเป็นต้นนั่นเอง   แม้พระโยคาวจรจะ (นึก) ขยาย ส่วน ก็หาขยายไม่ ส่วน ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นดวงอากาศแท้  และพระโยคาวจรจะ (นึก) ขยาย ก็ขยายได้ คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยอันกล่าวแล้วในปฐวีกสิณนั้นแล

              จากคำที่กล่าวในข้อ ๖ ๑๐ ที่กล่าวมาแล้วผู้ปฏิบัติจะต้องใช้โยนิโสมนสิการข้าพเจ้าขออธิบายดังนี้ ธรรมชื่อว่าโยนิโสมนสิการนั้นเป็นหัวใจในการปฏิบัติธรรมจนถึงละสังโยชน์ ๑๐ และเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ว่าได้เพราะเหตุใด โยนิโสมนสิการจึงมีความสำคัญมากก็เพราะว่าโยนิโสมนสิการคือการน้อมใจให้เข้าไปพิจารณา คิดตบแต่งจิตของเราให้ผ่องใสโดยอาการที่
แยบคายตามหลักอริยมรรค  ๘   อุปมาเหมือนดังเรากินข้าว   เมื่อเราตักใส่ในปาก เรามีสติ
และสัมปชัญญะความรู้ตัว  เคี้ยวข้าวครั้งที่หนึ่ง จิตพิจารณากายหรืออาการของการเคี้ยว เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ว่าละเอียดหรือยังถ้ายังต้องเคี้ยวต่อไปจนละเอียด ขณะจะกลืนเข้าท้องโยนิโสมนสิการ ตามเข้าไปกำหนดอีกว่า อิ่มหรือยัง พอหรือยัง เห็นไหมครับเจ้าตัวโยนิโสมนสิการตัวนี้แหละสำคัญมากเพราะมันเป็นตัวหลัก   หรือหัวจักรในการนำพาให้เรา เข้าถึงธรรมอันเป็นอริยะ  คือความหลุดพ้นได้หรือไม่ได้เจ้าตัวโยนิโสมนสิการตัวนี้แหละคือหัวใจของนักปฏิบัติจะกล่าวถึงความแตกต่างแห่งกสิณต่อไป

 

ความแตกต่างแห่งกสิณ 

              กสิณทั้งหมดนั่นมีความแตกต่าง ดังนี้คือ อุทฺธํ (ขยายขึ้นเบื้องบน)  อโธ (ขยายลง
เบื้องล่าง)  ติริยํ
(ขยายไปโดยขวางรอบตัว)  อทฺวยํ (ขยายไปไม่เป็น  ๒)  อปฺปมาณํ (ขยายไปไม่มีประมาณ) จริงอยู่ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "บุคคลลางคนกำหนดกสิณไปเบื้องบน
ลางคนกำหนดกสิณไปเบื้องล่างลางคนกำหนดกสิณไปโดยขวาง ไม่เป็น ๒ ไม่มีประมาณ" ดังนี้เป็นต้น ในคำเหล่านั้น คำว่า  อุทฺธํ  คือมุ่งสู่ท้องฟ้าเบื้องบน   คำว่า  อโธ  คือมุ่งสู่พื้นดินเบื้องล่าง 
คำว่า  ติริยํ  คือกำหนดไปรอบตัวดุจลาน   แท้จริง พระโยคาวจรลางท่าน ขยายกสิณไปเบื้องบนทางเดียว ลางท่านขยายไปเบื้องล่างลางท่านขยายไปโดยรอบตัว หรือแผ่ไปอย่างนั้น ตามเหตุการณ์
นั้น ๆ  ดังผู้ใคร่จะเห็นรูปด้วยทิพจักษุก็แผ่แสงสว่างไปฉะนั้นเพราะเหตุนั้น

              พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส  ๓  บทว่า   อุทฺธํ   อโธ   ติริยํ   ส่วนคำว่า  อทฺวยํ   นี่ตรัสเพื่อแสดงความที่กสิณอันหนึ่งไม่กลายเป็นกสิณอันอื่นไป   เปรียบเหมือนเมื่อคนลงน้ำไปก็มีแต่น้ำไปทุกทิศไม่มีสิ่งอื่นฉันใดปฐวีกสิณก็ย่อมเป็นแต่ปฐวีกสิณเท่านั้น   ความระคนกับกสิณอื่นหามีแก่ปฐวีกสิณนั้นไม่ฉันนั้น   นัยดังนี้นี่พึงทราบในกสิณทั้งปวงคำว่า  อปฺปมาณํ  นี่ตรัสโดยที่การแผ่ไปแห่งกสิณนั้นหาประมาณไม่ได้    แท้จริงเมื่อพระโยคาวจรแผ่กสิณนั้นไปด้วยใจ   ย่อมแผ่รวด
ไปทีเดียว หาได้มัวกะประมาณว่า แค่นี้เป็นเบื้องต้น   แค่นี้เป็นท่ามกลางของกสิณนั้นไม่   ดังนี้แล

 

ประโยชน์ของการพิจารณา กสิณ ๑๐

           คุณวิเศษต่าง ๆ  ที่สำเร็จด้วยอำนาจกสิณ

              ก็แลด้วยอำนาจแห่งปฐวีกสิณ[7] คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า ความบันดาล ทำให้มีให้เป็นขึ้น คือว่าคนเดียวบันดาลเป็นคนมากก็ได้เป็นต้น นิรมิตแผ่นดินขึ้นในอากาศหรือในน้ำแล้วเดินไปได้ หรือสำเร็จอิริยาบถมียืนและนั่งเป็นต้นได้ ด้วยอำนาจแห่งอาโปกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า ผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดินได้ ทำฝนน้ำให้เกิดขึ้นได้ นิรมิตสิ่งขวางกั้นมีแม่น้ำและทะเลเป็นต้นได้ ทำของหนักมีแผ่นดิน ภูเขา และปราสาท เป็นต้นให้ไหวได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งเตโชกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า บังหวนควันได้ บังหวนเพลิงได้ ทำฝนถ่านเพลิงให้เกิดขึ้นได้ ล้างไฟด้วยไฟได้ สามารถเผาเฉพาะสิ่งที่ต้องการได้ ทำแสงสว่างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การเห็นรูปด้วยทิพจักษุได้ทำสรีระให้ไหม้ไปด้วยเตโชธาตุ ในคราวปรินิพพานได้ อย่างนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งวาโยกสิณ

              คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า ไปได้เร็วเยี่ยงพายุ ทำฝนลมให้เกิดขึ้นได้ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งนีลกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า นิรมิตรูปสีเขียวขึ้นได้ ทำให้มืดไปได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจปีตกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า นิรมิตรูปสีเหลืองได้ น้อมใจลง(อธิษฐาน)ว่าให้เป็นทองได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จด้วยอำนาจแห่งโลหิตกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า นิรมิตสีแดงขึ้นได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งโอทาตกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่านิรมิตรูปสีขาวขึ้นได้ขับถีนมิทธะ(ความง่วงความหดหู่ท้อถอย )ได้ ไล่ความมืดได้ ทำแสงสว่างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การเห็นรูปด้วยทิพจักษุได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งอาโลกกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า นิรมิตรูปโปร่งแสงได้ ขับถีนมิทธะได้ เพิกความมืดได้ ทำแสงสว่างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การเห็นรูปด้วยทิพจักษุได้ ดังนี้ย่อมสำเร็จ ด้วยอำนาจแห่งอากาสกสิณ คุณวิเศษทั้งหลายเป็นต้นว่า ทำสิ่งที่ลี้ลับอยู่ให้เปิดเผยได้นิรมิตช่องว่างเข้าในที่ทึบเช่นภายในแผ่นดินและภายในภูเขาแล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ได้ ผ่านที่ตันมีฝาเป็นต้น ออกไปข้างนอกได้ไม่ติดดังนี้ย่อมสำเร็จ

 

ฤทธิ์อันเกิดจากการเจริญกสิณ

              ในกสิณทั้ง  ๑๐  ประการนั้น  ให้เข้าใจดียิ่งขึ้นไปอีกสักเล็กน้อยดังต่อไปนี้

           ๑ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจปฐวีกสิณ

                    ในบรรดากสิณ  ๑๐  ประการนั้น ฤทธิ์ย่อมสำเร็จขึ้นด้วยอำนาจปฐวีกสิณ มีอาทิดังนี้คือ คนเดียวเนรมิตให้เป็นหลายคนได้เป็นต้น เนรมิตแผ่นดินขึ้นในอากาศ หรือในน้ำแล้วเดินไปด้วยเท้าได้  สำเร็จอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้นในอากาศหรือในน้ำได้  ได้อภิภายตนะโดยนัยมีอารมณ์นิดหน่อยและมีอารมณ์หาประมาณมิได้

              กล่าวถึงฤทธิ์เพ่งกสิณที่สามารถแยกธาตุด้วยการเนรมิตให้เป็นหลายคนได้  ในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องเล่าอยู่ว่า  พระจูฬปันถก ผู้โง่เขลาท่องคาถาแม้บทเดียวก็ไม่ได้  ด้วยบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาสมเด็จพระบรมศาสดาทรงเห็นแจ้งแล้ว ซึ่งกรรม  ท่านทรงให้ผ้าสีขาวผืนเล็ก ให้ท่าน
จูฬปันถกลูบคลำผ้า  ลูบไปลูบมาผ้าเกิดดำขึ้นท่านเกิดความสงสัยในที่สุดก็พิจารณาเห็นว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแล้วไม่เที่ยงเป็นทุกข์  ต่อมาบรรลุพระอรหันต์ ในขณะเดียวกันนั่นเอง พระบรมศาสดากำลังนั่งจะฉันอาหารอยู่ได้ตรัสให้โยมไปนิมนต์พระอรหันต์อีกรูปหนึ่งมาฉันด้วย  แต่พระภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า พระอรหันต์ไม่มี พออุบาสกไปถึงวัดก็เป็นอันต้องตกใจเพราะว่าในวัดกลับมีพระภิกษุมากมายทำกิจวัตรอยู่ บ้างถูพื้น กวาดศาลา ในอิริยาบถต่าง ๆ  กลับมาทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแนะวิธีให้อุบาสกไป  พบพระภิกษุรูปใดมีเงาก็นิมนต์รูปนั้น อุบาสกกลับมาอีกรอบเห็นพระภิกษุผู้มีเงานั่งอยู่ ร้องถามว่า ท่านจูฬปัณถกะนิมนต์ไปฉันข้าวด้วยกันเท่านั้นเองร่างกายที่เนรมิตขึ้นก็หายไปเหลือแต่ท่านองค์เดียว จากความเรื่องนี้ทำให้เราทราบว่าการที่เราได้ปฏิบัติตามกำลังของแต่ละคน ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์ดังกล่าวมานี้ก็จะสำเร็จประโยชน์

           ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจอาโปกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจอาโปกสิณ มีอาทิดังนี้คือ ดำลงไปในพื้นแผ่นดิน และผุดโผล่พื้นแผ่นดินขึ้นมาได้ บันดาลให้ฝนตกได้ บันดาลให้เกิดเป็นแม่น้ำและเป็นมหาสมุทรเป็นต้นได้ บันดาลแผ่นดินภูเขาและปราสาทเป็นต้นให้หวั่นไหวสั่นสะเทือนได้

 

 

           ๓ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจเตโชกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจเตโชกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ บังหวนควันได้ บันดาล ให้ไฟลุกโพลงขึ้นได้ บันดาลให้ฝนถ่านเพลิงตกได้ บันดาลไฟที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ของผู้อื่นให้ดับลงด้วยไฟที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ของตนได้มีความสามารถที่จะเผาผลาญสิ่งที่ตนประสงค์ให้พินาศลงได้บันดาลให้เกิดแสงสว่างเพื่อเห็นรูปด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ได้เผาสรีระศพตนเองได้ด้วยเตโชธาตุในเวลาปรินิพพาน

           ๔ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจวาโยกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจวาโยกสิณมีอาทิดังนี้คือเหาะไปได้เร็วเหมือนอย่างลมพัด บันดาลฝนพายุให้ตกได้

           ๕ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจนีลกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจนีลกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นสีเขียวได้ บันดาลความมืดมนอนธการให้เกิดขึ้นได้ ได้อภิภายตนะ  โดยนัยมีผิวพรรณงามและมีผิวพรรณ
น่าเกลียด  การบรรลุสุภวิโมกข์คือบรรลุมรรคผลและนิพพานโดยง่ายสะดวกสบาย

           ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจปีตกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจปีตกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ เนรมิตสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นสีเหลืองได้เสกเหล็กทองเหลืองทองแดงเป็นต้นให้เป็นทองคำได้ ได้อภิภายตนะ โดยนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแลและการบรรลุสุภวิโมกข์

           ๗ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจโลหิตกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จด้วยอำนาจโลหิตกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ เนรมิตสิ่งของต่างๆให้เป็นสีแดงได้ได้อภิภายตนะโดยนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแลและการบรรลุสุภวิโมกข์

           ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจโอทาตกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจโอทาตกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ เนรมิตสิ่งของต่าง ๆ ให้เป็นสีขาวได้ บันดาลให้สร่างหายจากความง่วงเหงาหาวนอนได้ บันดาลความมืดมนอนธการให้หายไปได้ บันดาลให้เกิดแสงสว่างเพื่อเห็นรูปด้วยจักษุทิพย์ได้

           ๙ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจอาโลกกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจอาโลกกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ เนรมิตสิ่งของต่าง ๆ ให้มีแสงสว่างได้  บันดาลให้สร่างหายจากความง่วงเหงาหาวนอนได้  บันดาลความมืดมนอนธการให้หายไปได้  บันดาลให้เกิดแสงสว่างเพื่อเห็นรูปด้วยจักษุอันเป็นทิพย์ได้

 

 

           ๑๐. ฤทธิ์เกิดด้วยอำนาจอากาสกสิณ

                    ฤทธิ์สำเร็จขึ้นด้วยอำนาจอากาสกสิณ มีอาทิดังนี้ คือ บันดาลสิ่งที่ปกปิดกำบังไว้ให้ปรากฏเห็นได้ เนรมิตช่องว่างขึ้นในแผ่นดินและภูเขาเป็นต้นแล้วไปสำเร็จอิริยาบถยืนเดิน นั่ง นอนได้  ทะลุออกไปภายนอกฝาหรือกำแพงได้ ไม่มีอะไร กีดกั้นได้

              อย่างไรก็ดีฤทธิ์ทั้ง ๑๐  ประการนี้  มีความแตกต่างกันโดยความเหมือนกันคือต้องผ่าน ฌานสมาบัติ  ๘  และอภิญญา ๖  ด้วยกันทั้งหมด   ส่วนบุคคลผู้ฝึกสมถะ อาจจะแสดงฤทธิ์ได้หรือไม่ได้นั้นท่านต้องผ่านทางทั้งสองนี้ แต่ที่แสดงฤทธิ์ไม่ได้นั้นอาจเป็นเพราะไม่ได้สั่งสมบารมีเก่าไว้นั่นเอง  แต่ความบริสุทธิ์แห่งจิตของพระที่ได้โสดาบันขึ้นไป  เป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่ต้องหวนกลับมาอีก  เพราะจิตบริสุทธิ์ถึงขั้นเข้าสู่ความเป็นพระอริยะแล้วนั่นเอง

              ฤทธิ์ที่เกิดจากอำนาจของกสิณนั้น  ข้าพเจ้ายกตัวอย่างเดียวให้ท่านผู้รู้ได้ทำความเข้าใจว่าการพิจารณาด้วยวิปัสสนาของท่านจูฬปัณถก  จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ในกสิณหมดทั้ง  ๑๐  ประการนั้น ย่อมได้ความต่างกันด้วยสามารถแห่งการขยายดังนี้คือ ขยายขึ้นข้างบนขยายลงข้างล่างขยายไปรอบ ๆ  ตัวไม่ขยายคราวละ  ๒  กสิณปะปนกัน  ขยายอย่างไม่มีกำหนดประมาณ  ข้อนี้
สมด้วยพระบาลีที่ทรงแสดงไว้มีอาทิว่า  ฌานลาภีบุคคลบางคนย่อมขยายปฐวีกสิณขึ้นไปข้างบน บางคนขยายลงข้างล่าง  บางคนขยายไปรอบ ๆ  ตัว   บางคนขยายอย่างไม่ปะปนกัน คราวละ  ๒  กสิณ   บางคนขยายอย่างไม่มีกำหนดประมาณ

              อย่างไรก็ตามทำให้เรา ทราบว่าประโยชน์ของการทำกสิณต่าง ๆ  ๑๐ อย่างนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งภายในและภายนอก ดังนี้คือ  ประโยชน์ภายในก็คือทำให้บุคคลได้พ้นกิเลสอันบุคคล
ผู้ประพฤติตาม กระทำให้สำเร็จประโยชน์ได้ภูมิธรรมสูงขึ้น เช่นพระโสดาบันเป็นต้น  ส่วนปัจจัยภายนอกหรือผลประโยชน์ที่น่าจะได้จากการทำสมาธิในกสิณนี้ก็คือภูมิธรรมที่เกิดจากอิทธิฤทธิ์ในการแสดงแล้วให้เราเห็นด้านบนทำให้เราได้พบภูมิรู้ที่หาได้ยากในโลก

 

โทษของกสิณ

ผู้ที่บำเพ็ญกสิณไม่สำเร็จ

              ถ้าบุคคลใด เมื่อปฏิบัติตามธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนแล้วยังไม่เกิดประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกนั้น น่าจะมาจากความที่บุคคลนั้นไม่ได้ทำความเข้าใจ ถึงขั้นโยนิโสมนสิการนั่นเอง  ถ้าบุคคลใด เข้าใจหลักการที่กล่าวถึงการทรงฌานให้เกิดมีขึ้นด้วยการปฏิบัติในกสิณต่าง ๆ  นั้นท่านกล่าวไว้ดังนี้ คือ

              ก็แล ที่ท่านกล่าวว่าเป็นผู้กอบด้วยกัมมาวรณ์ (เครื่องกั้นคือกรรม) ก็ดี กอบด้วยกิเลสวรณ์
(
เครื่องกั้นคือกิเลส) ก็ดี  กอบด้วยวิปากาวรณ (เครื่องกันคือวิบาก) ก็ดี  ไม่มีศรัทธา  ไม่มีฉันทะ ปัญญาทรามเป็นผู้อภัพที่จะก้าวลงสู่ความแน่นอน  ความดำเนินชอบ ในธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล
ความบำเพ็ญในกสิณแม้แต่ข้อเดียว ก็ย่อมไม่สำเร็จ แก่สัตว์เหล่านั้น แม้สักผู้เดียว ในคำเหล่านั้น คำว่า   กอบด้วยกัมมาวรณ ได้แก่ประกอบด้วยอนันตริยกรรม  คำว่ากอบด้วยกิเลสวรณ  ได้แก่
เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ  และเป็นอุภโตพยัญชนก  เป็นบัณเฑาะก์  คำว่ากอบด้วยวิปากาวรณ  ได้แก่ปฏิสนธิเป็นอเหตุกะและเป็นทวิเหตุกะ   คำว่า  ไม่มีศรัทธา  คือไร้ความเชื่อในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น  คำว่าไม่มีฉันทะ  คือไร้ฉันทะในอปัจจนีกปฏิปทา   คำว่า ปัญญาทราม หมายความว่าไร้ความเห็นชอบทั้งที่เป็นโลกิยะและลกุตตระ  ข้อว่าเป็นผู้อาภัพที่จะก้าวลงสู่ความแน่นอน ความดำเนินชอบในธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลนั้น  ความว่าเป็นผู้ไม่อาจก้าวลงสู่อริยมรรคที่
นับว่าเป็นความแน่นอน และนับว่าเป็นความดำเนินชอบในธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล  อนึ่ง  มิใช่แต่ในกสิณเท่านั้น    การบำเพ็ญแม้ในกรรมฐานอื่น ๆ  ก็ไม่สำเร็จแก่สัตว์เหล่านั้นแม้แต่ผู้เดียว
เพราะเหตุนั้น กุลบุตรแม้ว่าปราศจากวิปากาวรณแล้วก็พึงหลีกเว้นกัมมาวรณและกิเลสาวรณเสีย
ให้ไกล  ยังศรัทธา ฉันทะและปัญญาให้เจริญด้วยวุฒิธรรมมีสัทธัมมัสสวนะ (ฟังธรรมของสัตบุรุษ
) และสัปปุริสูปัสสยะ (ความพึ่งพิงสัตบุรุษ) เป็นต้น ทำความเพียรในอันประกอบเนือง ๆ ในพระกรรมฐาน เทอญ

              โทษของผู้ปฏิบัติในอนันตริยกรรมนั้นคือ  ห้ามสวรรค์  ห้ามบรรลุธรรมชั้นสูง  คือพระนิพพาน  ท่านเรียกว่า  อนันตริยกรรม [8]

 

อนันตริยกรรม  ๕  คือ

              ๑.   มาตุฆาต              ฆ่ามารดา

              ๒.   ปิตุฆาต                ฆ่าบิดา

              ๓.   อรหันตฆาต          ฆ่าพระอรหันต์

              ๔.   โลหิตุปบาท          ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป

              ๕.   สังฆเภท      ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน

              กรรม  ๕  อย่างนี้   เป็นบาปอันหนักที่สุด  ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน   ตั้งอยู่ในฐานของ
ผู้ถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด

              คำว่า  อนันตริยกรรม  คือการฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์นั้น  กระทำโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม เมื่อก้าวล่วง ซึ่งความเป็นผู้ฆ่า ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ได้ชื่อว่าก้าวล่วงซึ่งอนันตริยกรรมแล้ว โดยสมบูรณ์ ส่วนข้อโลหิตุปบาท คือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป (มีเพียงพระเทวทัตคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้)  ส่วนการยังสงฆ์ให้แตกจากกันมีเพียงพระภิกษุอย่างเดียวเท่านั้น บุคคลธรรมดาไม่มีสิทธิ์  ให้เข้าใจตามนี้

           โทษแห่งปฐวีกสิณ  เว้นกสิณโทษ ๔  ประการเสีย  แต่งวงกสิณขึ้นเถิด  ก็โทษแห่งปฐวีกสิณ  มี  ๔  เนื่องด้วยความปนกันแห่งดินสีเขียว ดินสีเหลือง ดินสีแดง และดินสีขาว  มหาฎีกาว่าปนกันโดยนำดินต่างสีมาปะติดกันเข้ากลายเป็นดินหลายสีก็ดี ปนกันโดยนำดินต่างสีมาคลุกขยำเข้ากันกลายเป็นดินสีอะไรไปอีกก็ดี  เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรอย่าถือเอาดินเหนียวอันมีสี เป็นโทษมีสีเขียวเป็นอาทิพึงแต่งวงกสิณด้วยดินเหนียว มีสีผ่อง ดังสีอรุณ เช่นกับดินในท้องคงคา  มหาฎีกาว่าในสีหลทวีป (ลังกา) มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อโรวนคงคา ดินทางตลิ่งพังของแม่น้ำนั้นเป็นดินสีผ่อง  ดังสีอรุณคำที่ว่านี้หมายเอาดินในแม่น้ำนั้นหาใช่แม่คงคาในชมพูทวีป (อินเดีย) ไม่  ก็แล วงกสิณนั้นไม่ควรแต่งในที่เป็นที่สัญจรไปมาแห่งอนุปสัมบันทั้งหลายมีสามเณรเป็นต้นในกลางวิหาร แต่ควรแต่งในที่มิดชิดทางท้ายวิหาร เป็นเงื้อมเขา หรือบรรณศาลาก็ดี ทำเป็นชนิดเคลื่อนที่ได้ก็ได้ เป็นชนิดตั้งอยู่กับที่ก็ได้

           โทษแห่งนีลกสิณ        กสิณ  โทษก็ปรากฏในอุคคหนิมิต คือ สิ่งที่เนื่องด้วยกสิณมณฑลมีเกสรก้านระหว่างกลีบเป็นต้น ย่อมปรากฏ  ส่วนปฏิภาคนิมิตหลุดจากกสิณมณฑล  ปรากฏเช่นกับขั้วตาลฝังแก้ว (อินทนิล) อยู่ในอากาศ คำพรรณนาที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว

 

 

สรุป

              กสิณ คืออารมณ์ของการปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อบุคคลเจริญกรรมฐานในลักษณะที่อาศัยธาตุทั้ง  ๑๐  ดังกล่าวมาแล้ว  จะสามารถดำรงสมาธิหรือกสิณไว้นานได้    

              ผู้หวังบำเพ็ญกรรมฐานเพื่อพัฒนาจิตของตน   เมื่อได้ศึกษาหลักการปฏิบัติกรรมฐาน
จนเข้าใจดีแล้ว  และเมื่อได้เลือกอารมณ์กรรมฐาน อันเหมาะกับจริตของตนได้แล้ว เว้นสิ่งที่ไม่เป็นสัปปายะและเลือกสิ่งที่เป็นสัปปายะ เช่น สถานที่และอากาศอันเหมาะสมแก่การปฏิบัติ

              การสร้างนิมิตวงกลม ด้วยการมองผ่านกึ่งกลางระหว่างคิ้วนี้ ยังเหมาะสำหรับนักปฏิบัติฝึกสมาธิที่ฝึกถึงความสงบสงบขั้นปีติสบาย ๆ แล้วก็ไม่รู้จะฝึกวิธีใดต่อไป สังเกตได้จากการทดลองตัวอย่างหลายท่านมาท่านที่ยังไม่สามารถรักษาอารมณ์ให้สงบอย่างแท้จริง  คือเพียงแค่ถึงประตูแห่งความสงบ ท่านเหล่านี้จะไม่สามารถรวมตัวแสงสว่างให้เกิดขึ้นเป็นวงกลมได้ จึงต้องปฏิบัติด้วยการสร้างนิมิตขึ้น ผู้ศึกษาต้องลองหัดปฏิบัติจากของจริงจึงจะสำเร็จผลได้  เมื่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมได้รับผลของการฝึกหัด ด้วยฤทธิ์ทั้ง  ๑๐  ประการนั้น  อย่างไรก็ดีฤทธิ์ทั้ง  ๑๐  ประการนี้   มีความแตกต่างกันโดยความเหมือนกันคือต้องผ่านฌานสมาบัติ  ๘  และอภิญญา  ๖  ด้วยกันทั้งหมดอภิญญา   แปลว่า   ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง, ความรู้ชั้นสูงมี  ๖ อย่างคือ

              ๑.   อิทธิวิธี                 แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้

              ๒.   ทิพพโสต              หูทิพย์

              ๓.   เจโตปริยญาณ       ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้

              ๔.   ปุพเพนิวาสานุสติ  ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้

              ๕.   ทิพพจักขุ             ตาทิพย์

              ๖.   อาสวักขยญาณ     ญาณทำให้อาสวะสิ้นไป

              ใน  ๕  ข้อแรกนั้น  ท่านยังถือว่าเป็นโลกียะ คำว่าโลกิยะ แปลว่าเกี่ยวกับโลก, ทางโลก, เนื่องจากโลก หรือเรื่องของชาวโลกส่วนข้อ ๖  อาสวักขยญาณนั้นเป็นโลกุตตรอภิญญา  แปลว่าไม่เกี่ยวข้องกับโลกหรือมนุษย์โดยสมบูรณ์   อานิสงส์ของการเจริญกสิณ  มีนัยดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

แบบฝึกหัดประจำบทที่  

 

      ๑.     กสิณคืออะไร ?   เรามีวิธีพิจารณาอย่างไร ?

      ๒.     จงเล่าถึงขั้นตอนวิธีฝึกปฐวีกสิณมาให้เข้าใจ ?

      ๓.     จง อธิบายวิธีแต่งวงกสิณชนิดเคลื่อนที่  มาพอเข้าใจ ?

      ๔.     จงบอกวิธีการเจริญอาโปกสิณและวิธีการทรงฌานมาพอเข้าใจ ?

      ๕.     จงบอกองค์แห่งกสิณกรรมฐาน  ๑๐  อย่าง มาให้เข้าใจ ?

      ๖.     จงให้ความหมาย ของคำว่า เพ่ง  ภาวนา  หรือการดูกสิณ ตามทัศนะของท่านมาให้เข้าใจ ?

      ๗.     จงให้ความหมายของคำว่า ปริจฉินนากาสกสิณ คือกสิณแบบใด จงอธิบายวิธีการทำกสิณ

              มาพอเข้าใจ ?

      ๘.     จงบอกคุณลักษณะที่เกิดจาก ฤทธิ์ของปฐวีกสิณและเตโชกสิณมาพอเข้าใจ ?

      ๙.     จงอธิบายความแตกต่างของกสิณ นั้นว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ?

     ๑๐.   จงอธิบายโทษของผู้บำเพ็ญกสิณไม่สำเร็จนั้นมีสาเหตุใดบ้าง ?

 

 

หนังสืออ้างอิงและอ่านประกอบ

 

๑.    องฺ. ปญฺจก.  ๒๒/๑๒๙/๑๖๕.

๒.    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ  อาสภมหาเถร)คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

      บริษัทประยูรวงศ์พริ้นติ้ง, ๒๕๔๗).

๓.    พระธรรมวิสุทธิกวี, การบริหารจิต,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท เซเว่น พริ้นติ้ง กรุ๊ป

      จำกัด, ๒๕๔๖).

๔.    แนบ   มหานีรานนท์การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเล่มหนึ่ง,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

      พี่น้องการพิมพ์๒๕๑๗).

 

 

แผนการบริหารการสอนประจำบทที่  ๕

 

     ๑.    บทที่  ๕   อสุภ ๑๐

 

     ๒.    หัวข้อเนื้อหาประจำบท

              -     อสุภกัมมัฏฐาน ๑๐ อย่าง

              -     วิธีการพิจารณาอสุภ  ๑๐

              -     สัญญามี ๕ ลักษณะ

              -     ประโยชน์ในการพิจารณา อสุภ

              -     การตั้งสติกำหนดรู้อสุภ

 

     ๓.    วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม

              -     สามารถอธิบายความหมายของคำว่า อสุภได้

              -     อธิบายถึงหลักคำสอนของอสุภได้

              -     สามารถอธิบายหัวข้อธรรมต่าง ๆได้

              -     สามารถอธิบายถึงประโยชน์ในอสุภต่าง ๆ ได้

 

     ๔.    เวลาเรียน

              -     สัปดาห์ที่  ๘         เวลาเรียน  ๑  คาบ

 

     ๕.    กิจกรรมการเรียนการสอน

              -     บรรยาย

              -     ให้ผู้เรียนซักถามข้อสงสัย

              -     ให้ผู้เรียนตอบคำถามท้ายบท

              -     ทดสอบโดยการปฏิบัติจริงและหลังการอภิปรายในชั้นเรียน

 

     ๖.    สื่อการเรียนการสอน

              -     เอกสารประกอบการสอน

              -     เครื่องฉายทึบแสง

              -     วีซีดีประกอบการสอน

 

     ๗.    การวัดผลและประเมินผล

              -     สังเกตจากการตอบคำถาม

              -     ตรวจการตอบคำถามท้ายบท

 

 

 



[1] สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ  อาสภมหาเถร),  คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ บริษัท ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง, ๒๕๔๗),  หน้า  ๑๘๓.

[2] คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เล่มเดียวกัน,  หน้า  ๒๑๓.

[3]  พระธรรมวิสุทธิกวี, การบริหารจิต,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท เซเว่น พริ้นติ้ง กรุ๊ป จำกัด,

๒๕๔๖),  หน้า  ๒๘.

                  [4] คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เรื่องเดียวกัน, หน้า  ๒๑๕.

คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เรื่องเดียวกัน,  หน้า  ๓๐๑ .

[5] คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เรื่องเดียวกัน,  หน้า  ๓๐๓ .

[6] แนบ   มหานีรานนท์,  การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเล่มหนึ่ง,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พี่น้องการพิมพ์,  ๒๕๑๗),  หน้า  ๑๔.

[7] คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เรื่องเดียวกัน,  หน้า  ๓๑๐ - ๓๑๒ .

[8]  องฺ. ปญฺจก.  ๒๒/๑๒๙/๑๖๕.

ความคิดเห็น