เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 6. เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.
เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 6
อนุสสติ 10
อนุสสติ เป็นการพิจารณาพระกรรมฐานเพื่อระลึกถึงบุคคลหรือความประพฤติของตนเองและธรรม เพื่อให้เกิดศรัทธา มีจิตเลื่อมใสในการที่ปฏิบัติธรรม คือการพิจารณา ให้เกิดสมาธิจิตขึ้นอีกนับว่าพระบรมศาสดามีความฉลาดในการสอนให้บุคคลได้เห็นอุบายวิธี ในการเป็นตัวอย่างให้เกิดความสงบทางใจ วิธีการสอนของพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถหาวิธี การแนะนำส่งเสริมให้พระสงฆ์สาวก รวมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ได้ทราบถึงเทคนิค วิธีการของท่านอย่างวิจิตรพิสดารหาใครเหมือนพระองค์ทรงสั่งสอนทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้จักหนทางแห่งความดับทุกข์ อย่างเช่นในอนุสสติ ๑๐ ประการนี้พระองค์ได้ทรงแนะแนววิธีในการทำใจให้สงบและเป็นสมาธิ ให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตามสติปัญญาและคำสอนของพระองค์เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งพระนิพพานทั้งสิ้น
วิธีการในอนุสสติ นี้ก็เช่นกันเมื่อบุคคลเจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความสุขทั้งทางกาย วาจา และทางใจ ให้พ้นภัยคือวัฏฏะสงสารได้ การระลึกถึงคุณบิดามารดา หรือการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์เองก่อนแล้วสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย เป็นการทำจิตให้เกิดประโยชน์ในการบำเพ็ญพระกรรมฐานให้ใจมีสติคือความระลึกได้ มีสมาธิคือความตั้งใจมั่น และสัมปชัญญะคือความรู้ตัว เมื่อปฏิบัติอนุสสติครั้งใดสมาธิก็เกิดขึ้นทำให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
อนุสสติกัมมัฏฐาน ๑๐ อย่าง
อนุสสติกัมมัฏฐาน คือสิ่งหรือความดีที่เราควรระลึกถึงคุณของบุคคลและความดีที่มีอยู่แล้วตามเหตุ ตามปัจจัย อนุสสติกัมมัฏฐาน[๑] มี ๑๐ ประการคือ
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม
๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์
๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน
๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาคที่ตนบริจาคแล้ว
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา
๗. มรณานุสสติ ระลึกถึงความตาย
๘. กายคตาสติ ระลึกถึงร่างกายซึ่งล้วนแต่ไม่สะอาด
๙. อานาปานสติ ระลึกกำหนดลมหายใจเข้าออก และ
๑๐. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงนิพพานอันเป็นที่ดับทุกข์ทั้งปวง
วิธีการพิจารณา อนุสสติ ๑๐
๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นเสมือนหนึ่งแม่น้ำมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ไม่ว่าแม่น้ำสายใดในโลกที่ไหลผ่าน เปรียบเหมือนดังสายเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนนั้นฉันใด การที่พระองค์มีพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ดุจดวงประทีปคอยส่องนำทางให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ได้เดินตามทางที่พระองค์ท่านทรงค้นพบซึ่งพระสัจธรรมคือรู้อริยสัจ ๔ อย่างคือ ทุกข์ - รู้ว่าทุกข์คืออะไร สมุทัย - รู้เหตุของความทุกข์ นิโรธ - รู้เหตุแห่งความดับทุกข์ มรรค - ทรงรู้ถึงแนวทางที่ทำให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ได้ นั่นก็คือ อริยมรรค หนทางแห่งการดับทุกข์ อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงเป็นผู้สั่งสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พร้อมทั้งบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายดังที่กล่าวมาแล้วให้พ้นจากภัยคือวัฏฏะสงสาร พระคุณทั้งหลายเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วล้วนเป็นกุศล ความดีที่พระองค์ท่านมีอยู่ในตัวของท่านเองแล้ว
๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึง คุณของพระธรรม คือคำสั่งสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วพระองค์ได้ทรงค้นพบพระธรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่จะนำพาให้มนุษย์พ้นจากวัฏฏะสงสาร สิ่งที่
พระองค์ทรงค้นพบเป็นสภาวธรรมที่เที่ยงแท้ สามารถพิสูจน์ได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ใครปฏิบัติผิดก็ว่าไปตามผิด ใครปฏิบัติถูกธรรม ก็ได้รับผลนั้น นั่นก็คือความสุข
๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์ คือหมู่ชนที่ฟังคำสอนของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าเจ้าแล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามธรรมที่พระองค์ท่านทรงสั่งสอน ได้รับผลคือ
การบรรลุธรรม ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ท่านที่กล่าวมานี้ เป็นอริยสงฆ์ที่ควรบูชา ควรนำมาเป็นแบบอย่าง
๔. สีลานุสติ ระลึกถึงศีลของตน คือการปฏิบัติธรรมของเรา หรือศีลของเรานั่นเองถ้าเป็นภิกษุก็มีศีล ๒๒๗ ข้อ ศีลของสามเณรมี ๑๐ ข้อ ศีลของอุบาสก อุบาสิกาก็มี ๘ ข้อ และศีลของบุคคลทั่วไปมี ๕ ข้อ การระลึกถึงศีลของตนนั้น แม้เพียงข้อเดียวที่เหลืออยู่ก็สามารถ
ทำให้ใจเราเย็น และ สงบลงได้ นำมาซึ่งความสุขของใจเราเย็นและสงบลงได้ นำมาซึ่งความสุขของใจ เมื่อนึกถึงศีล ข้อนี้ทีไร ก็เป็นความสุขทุกที(ทำให้มีอานิสงส์ ที่เกิดกับใจ คือความสุข)
๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงคุณความดีของตนเองที่ได้สร้างไว้กับบุคคลผู้เดือดร้อนที่เราได้ให้ความช่วยเหลือด้วยความเสียสละ สละทรัพย์ส่วนตัวให้กับผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือ คนพิการ ตลอดจนคนที่อยู่ต่ำกว่าเราลำบากในการเลี้ยงชีวิต เมื่อตนเองระลึกถึง ธรรมข้อนี้ ทำให้ใจเราเบิกบาน มีความสุข มีความอิ่มเอิบ
๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณของเทวดาผู้ปฏิบัติดีด้วยทางกาย วาจา ใจ ส่งความเมตตาปรารถนาให้คนที่เดือดร้อน มีความสุข ทรงนึกถึง บุญที่ทำให้ท่านไปบังเกิดเป็นเทวดาได้ ทำให้ใจของเรา อิ่มเอิบและเบิกบานได้
๗. มรณานุสติ คือการระลึกถึงความตายว่า ทุกคนเกิดมามีความทุกข์ และความทุกข์เหล่านี้ นำมาซึ่งความโศกเศร้า ความไม่สบายกายความไม่สบายใจเหล่านี้คือความทุกข์ทั้งสิ้น เมื่อเรามีการเจริญมรณสติอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ใจของเราสบาย เบาและเย็นขึ้นได้
๘. กายคตาสติ นึกถึงร่างกายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา
ทุกสรรพสิ่งต้องเน่า เปื่อย สูญสลายไป ทำให้จิตคลายกำหนัด พ้นภัยไปได้ การพิจารณากายของเรานี้ทำให้เราได้เห็นความไม่งามของร่างกาย
๙. อานาปานสติ คือระลึกถึงพระบรมศาสดาทรงแนะนำให้พระภิกษุหรือ
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายว่า โน่นโคนไม้ โน่นป่าไม้ เธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด อานาปานาสติ ๑๖ ขั้นที่กล่าวนี้เป็นปัจจัย หรืออุบายทำให้เรามีสติและสัมปชัญญะในการเจริญอารมณ์ เพื่อเป็นอุบายทำให้ใจของเราสงบ เมื่อเราปฏิบัติใจเราก็ยิ่งเกิดสมาธิ เมื่อใจเรามีสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ มีความแจ่มใสคมชัด สามารถเรียนรู้ ทุกสรรพสิ่งได้โดยไม่ระแวงสงสัย เมื่อมีความสงสัย ปัญญาที่เกิดจากสมาธิหรือที่เราเรียกว่า อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
๑๐. อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพาน คือแดนสุขาวดีที่ทุกคนปรารถนาต้องการ นึกถึงพระบรมศาสดาที่ทรงค้นพบทางที่เป็นดินแดนแห่งความสุขนั่นเอง เมื่อตนเองนึกถึงความปรารถนาและทำให้ตนเองมีความสุข ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำให้ใจเรามีปีติ เบิกบานผ่องใส
การเจริญอานาปานสติพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญอานาปานสติกรรมฐานไว้ว่า อานาปานสติสมาธิที่ใครทำให้มีทำให้มากแล้ว เป็นธรรมละเอียดประณีตแท้ด้วย เครื่องช่วยให้จิตละมุนละไมและเป็นสุข ทำให้บาปอกุศลเกิดขึ้นหายระงับไป พระองค์ได้ตรัสจำแนกให้เป็นกรรมฐานในลักษณะ ๑๖ ประการว่า บุคคลทำอานาปานสติสมาธิให้มีหรือให้มากอย่างไรจึงเป็นธรรมละเอียด ประณีต เครื่องพักจิตอย่างละมุนละไมและเป็นสุข ทำให้บาปอกุศลที่เกิดขึ้นระงับไป
อานาปานสติ ๑๖ ขั้น
ภิกษุไปสู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่นอยู่กับตัว มีสติหายใจออก และหายใจเข้า อานาปานสติ [๒] ในลักษณะ ๑๖ ประการ ดังต่อไปนี้
๑. เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว
๒. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น
๓. เมื่อตั้งใจว่าจะรู้ตัวตลอดเวลาหายใจเข้า–ออก ก็รู้ตัวว่าหายใจเข้า–ออก
๔. เมื่อตั้งใจว่าจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ เข้า–ออก ก็รู้ตัวว่าค่อย ๆ ผ่อนหายใจเข้า–ออก
๕. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะรู้ปีติ อย่างแน่ชัด
๖. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะรู้สุข อย่างแน่ชัด
๗. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะรู้จิต อย่างแน่ชัด
๘. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราค่อย ๆ ระงับจิตสังขารต่อไป
๙. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะรู้เท่าทันจิต
๑๐. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะทำใจให้ร่าเริง
๑๑. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะตั้งจิตให้มั่นคงตลอดเวลา
๑๒. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะค่อย ๆ คลายความรู้สึก(จิต)ไปด้วย
๑๓. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง
๑๔. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะพิจารณาเห็นความผ่อนคลายที่เกิดขึ้น
๑๕. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะพิจารณาเห็นความดับหายไปที่เกิดขึ้น
๑๖. เมื่อกำหนดว่าเวลาหายใจเข้า–ออก เราจะดูความสละทิ้งที่ปรากฏแก่จิตด้วย
ด้วยอานาปานสตินี้ บุคคลเจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมละกายสังขารคือกองแห่งความทุกข์ได้ พระผู้มีพระภาคก็เช่นกันพระองค์ทรงสละทุกสิ่งเพื่อแสวงหาพระสัจธรรม ทรงค้นพบกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้ภิกษุได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วย่อมได้มรรคผลนิพพานจริง ด้วยเหตุนี้ท่านผู้ปฎิบัติต้องใคร่ครวญและพิจารณาให้ถ่องแท้ในการใคร่ครวญและกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย [๓]
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้กล่าวถึงอรรถกถาวินัยซึ่งแสดงถึง ลมออกข้างนอกชื่ออัสสาสะ ลมเข้าข้างในชื่อ ปัสสาสะ แต่อรรถกถาพระสูตรกล่าวตรงกันข้าม เวลาที่ทารกออกจากท้องมารดา ลมข้างในออกมาก่อน ลมข้างนอกพาเอาธุลีละเอียดเข้าไปทีหลังพอถึงเพดานปากก็ดับ ความยาวและความสั้นของลมหายใจนั้นพึงทราบว่าเกิดจากระยะทางสั้น ก็เรียกลำน้ำยาว หาดทรายยาว หรือลำน้ำสั้น หาดทรายสั้น ทำนองเดียวกันลมหายใจเข้าและออกแม้เป็นของละเอียด แต่มันเข้าไปทำระยะยาวนานในร่างกายช้างและงู คือทำให้ลำตัวของมันเต็มช้า ๆ แล้วออกช้า ๆ เหมือนกัน [๔]
จากการพิจารณาลมหายใจเข้าออกนี้ ทำให้เราเข้าใจถึงสภาวธรรมหนึ่งนั่นก็คือความเกิดขึ้นของธรรมชาติที่เราเรียกว่าลมหายใจเข้า–ออก ถ้าหายใจเข้าและไม่หายใจออก ร่างกายของเราก็ทนอยู่ไม่ได้ ท่านพระเทพวิสุทธิกวี กล่าวถึงอานาปานบรรพว่า การกำหนดลมหายใจเข้า–ออก คือกำหนดลมหายใจเข้า–ออก โดยมีข้อภาวนากำกับว่า “พุทโธ” อย่างที่เราปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันก็อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรในอานาปานบรรพนั่นเอง เป็นกายานุปัสสนาและสามารถเลื่อนขั้นเป็นวิปัสสนากรรมฐานได้เพราะอานาปานสตินี้ยังอยู่ในชั้นสมถะก่อน ซึ่งอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้า–ออก นั้น ดังคำกล่าวนี้ทำให้เราเข้าใจชัดถึงความพร้อมในการปฏิบัติว่า คำภาวนาต่าง ๆ เป็นเพียงสมถะเท่านั้น ยังไม่ได้ยกอารมณ์เข้าสู่วิปัสสนานั่นเอง [๕]
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แยกธาตุได้ดังนี้ กายา (ร่างกาย) + วิปัสสนา (ปัญญาตามเห็นความเป็นจริง) แปลว่าที่ตั้งแห่งการงานทางกาย
เมื่อพระโยคาวจรหายใจออกหรือหายใจเข้ายาว ย่อมทราบแก่ใจว่า ตนเองหายใจออก หายใจเข้ายาวด้วยอาการ ๘ และเมื่อเป็นอยู่อย่างนั้นพึงทราบว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานสำเร็จในระดับหนึ่ง ดังที่กล่าวในคัมภีร์ปฏิสัมภิทาว่า
เมื่อพระโยคาวจรหายใจออกยาว ก็รู้ว่ากายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว ด้วยอาการอย่างไร
๑. ผ่อนลมหายใจออกยาวเพราะช่วงเวลายาว
๒. สูดลมหายใจเข้ายาวเพราะช่วงเวลายาว หรือ
๓. ทั้งผ่อนลมออก ทั้งสูดลมเข้ายาว เนื่องจากช่วงเวลายาวด้วยว่าระยะยาว เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันทะเกิดขึ้น
๔. ด้วยอำนาจฉันทะ ทำให้ลมหายใจออกนั้นเป็นลมละเอียดกว่าแต่ก่อน
๕. ด้วยอำนาจฉันทะ ทำให้ลมหายใจเข้ายาวและเป็นลมละเอียดกว่าแต่ก่อน
๖. ด้วยอำนาจฉันทะ ทำให้ลมหายใจเข้าออกยาวนั้น เป็นลมละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก
๗. ด้วยอำนาจปราโมทย์ ทำให้ลมหายใจออกยาวนั้น เป็นลมละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก
๘. ด้วยอำนาจปราโมทย์ ทำให้ลมหายใจเข้าออกยาวนั้น เป็นลมละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อผ่อนลมออกและสูดลมเข้า เป็นการหายใจออกและหายใจเข้ายาว เนื่องจากเป็นระยะยาวและเป็นลมละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก
๙. ด้วยอำนาจปราโมทย์ จิตหลุดจากลมหายใจออกและลมหายใจเข้านั้น อุเบกขาก็ตั้งขึ้นลมหายใจเข้าออกยาวและเป็นไปโดยขั้นตอน (อาการ) ๙ นี้ เป็นกาย (รูป) สิ่งที่เข้าไปทำกายนั้นเป็นอารมณ์เป็นตัวสติ (นาม) การกำหนดรู้กายตามที่มันเป็นจริง เป็นตัวญาณที่กำหนดรู้กาย เป็นที่ตั้งแห่งสติ ไม่ใช่ตัวสติ สติเป็นทั้งสภาวะที่ตั้งอยู่และเป็นตัวระลึกด้วย พระโยคาวจรตามกำหนดรู้กาย สติ และญาณ เพราะเหตุนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า การตามกำหนดรู้กายในกาย เป็นการบำเพ็ญสติปัฏฐาน สำหรับแนวกำหนดการหายใจเข้า-ออกสั้นทั้งหมด ก็มีนัยเช่นเดียวกับลักษณะการหายใจเข้า–ออกยาวนั่นเอง ผู้ปฏิบัติเองย่อมเข้าใจนัยดังกล่าวแก่ตนเองอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การฝึกหัดให้เกิดความชำนาญในการเข้าและออกจากสมาธิการฝึกหัดสติให้กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออกในบทต่าง ๆ ก็ตาม การปรับลมหายใจให้เหมาะกับนิสัยของบุคคลเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า การสุ่มในการปฏิบัติ เพราะถ้าเราเข้าใจพื้นฐานในการปฏิบัติอยู่ก่อนแล้วย่อมทำให้แจ้งซึ่งปริยัติที่ได้กล่าวไว้ในบทก่อน ๆ ทำให้เราได้เข้าใจการปฏิบัติในอานาปานสติได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
การรู้สึกตัวตลอดเวลา
การปฏิบัติในอานาปานสติ เราต้องเข้าใจว่า การทำใจให้ผ่องแผ้วหรือทำใจให้สงบระงับจากกองแห่งสังขารได้ ท่านให้ฝึกปฏิบัติโดยการใช้โยนิโสมนสิการ คือการทำให้ตนเองได้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ปฏิบัติ [๖]
การตั้งใจและการกำหนดลมหายใจเข้าออกเรียกว่า อานาปานสติ เริ่มกำหนดพิจารณาจากต้นของลมหายใจก็รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อหายใจออกก็พิจารณาเห็นลมหายใจออกทั่วกายท่านให้
ทำความรู้สึกในกายของตนอยู่กับอารมณ์การใส่ใจว่าจะพิจารณาเบื้องต้นแห่งลมหายใจเมื่อกำลังหายใจอยู่กลาง (ดำเนินสติอยู่) ก็รู้สึกตัวทั่วพร้อมเมื่อลมหายใจออกสิ้นสุดแห่งลมหายใจ เราจึงส่งจิตไปในความรู้ในอารมณ์นั้นว่าหายใจเข้า หายใจทรงอยู่และหายใจออกก็ทราบอยู่การหายใจเข้า เมื่อเป็นเช่นนั้นชื่อว่าหายใจออกและหายใจเข้าด้วยจิตประกอบด้วยญาณ เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า “จงสำเหนียกว่าเราจักหายใจออก”
สำหรับภิกษุบางรูป สามารถกำหนดต้นลมหายใจที่แล่นเข้า–ออกอย่างละเอียด แต่กลางลมและปลายลมไม่ชัดและยุ่งยากอยู่ในตอนกลางลมและปลายผม สำหรับบางรูปกลางลมชัดแต่ต้นและปลายไม่ชัด บางรูปปลายลมชัดแต่ต้นและกลางไม่ชัด และยุ่งยากอยู่ในตอนต้นและกลาง บางรูปชัดหมดทุกตอน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พระโยคาวจรควรเป็นเช่นรูปที่ ๔ นั้นจึงตรัสว่า ภิกษุกำหนดว่าเราจักเป็นผู้รู้เห็นตลอดกายทั้งหมดในเวลาหายใจออกหายใจเข้า
ความสำรวมแห่งภิกษุผู้เจริญอานาปานสติในลักษณะเช่นนี้ จัดเป็นอธิจิตตสิกขา ความตั้งจิตมั่น ภิกษุในลักษณะเช่นนี้ เป็นอธิจิตตสิกขา และความรู้ทั่วถึงแห่งภิกษุในลักษณะเช่นนี้ เป็นอธิปัญญาสิกขา ดังนั้น ภิกษุเรียนรู้สัมผัสและเจริญให้มากซึ่งสิกขา ๓ ตามที่กล่าวมานี้
การทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้นท่านให้หลักการปฏิบัติ ให้บุคคลผู้ปฏิบัติได้ทำความ
รู้สึกคุ้นเคย กับรูปแบบในการกระทำนั้น เหตุที่ท่านให้นักปฏิบัติทำโดยการนั้น ก็ถือว่าเป็นอุบายทำให้ใจเกิดความเชื่อมั่นในอารมณ์ก่อนการปฏิบัติพระกรรมฐาน ในอานาปานสติข้อนี้ มีบางท่านที่ชำนาญในการฝึกพออาจารย์ให้เริ่มปฏิบัติกรรมฐาน ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการทำสมาธิต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งใหม่ การปฏิบัติด้วยวิธีนี้ท่านเรียกว่าบุคคลที่ปฏิบัติได้ดังนี้ มีความชำนาญในการเข้า–ออกจากสมาธินั่นเอง
การระงับกายสังขาร
พระโยคาวจร [๗] ควรใส่ใจว่า เราจักเป็นผู้ระงับคือทำกายสังขารที่หยาบ ให้เบาบางลง จนกระทั่งดับและสงบในเวลาหายใจเข้าหายใจออก แต่ตอนที่ยังมิได้กำหนดถือเอาอานาปานสติกรรมฐานนั้นกายและจิตของภิกษุนี้ยังมีความกระวนกระวายนับว่ายังหยาบ ครั้นความหยาบ
ดังกล่าวยังไม่สงบ ลมหายใจเข้า–ออกก็เป็นลมหยาบ คือเป็นลมแรงมาก จมูกไม่พอ แถมยังยืนหายใจทางปากอีกด้วย เมื่อกายและจิตถูกกำหนดถือเอาเป็นที่ตั้งกรรมฐานแล้ว มันก็ละเอียดเข้าจนสงบไป ครั้นสงบแล้วลมหายใจก็ละเอียดลงไปจนถึงอาการดังกล่าวว่ามีอยู่หรือไม่มี เหมือนลมหายใจของคนที่วิ่งลงจากภูเขาหรือปลงของหนักลงจากบ่าแล้วยืนอยู่ย่อมเป็นลมหยาบจมูกไม่พอ และยืนหายใจทางปากอยู่
ดังนั้น เมื่อกายและจิตกระสับกระส่าย ลมหายใจย่อมเป็นลมหยาบ ครั้นกายและจิตไม่กระสับกระส่าย ลมหายใจย่อมเป็นลมละเอียดขึ้น
จากคำกล่าวข้างต้น การจะกำหนดระงับกายของสังขารให้ละเอียดได้นั้น ผู้ปฏิบัติต้องพิจารณาถามตนเองก่อนว่าตนเองได้ทำความรู้สึกก่อนการปฏิบัติอย่างไร ? เช่นมีความกังวลอยู่ มีความไม่พร้อม มีภารหน้าที่ที่จะต้องทำอยู่ ไม่ระลึกถึงหลักการทำสมาธิที่เคยปฏิบัติมา เมื่อพิจารณาแล้วให้สังเกตว่าเมื่อครั้งที่แล้วเราได้สมาธิระดับใด แล้วลองพยายามฝึกใจให้ได้ความรู้สึก จากการปฏิบัติครั้งที่แล้ว เมื่อเราระลึกได้ถึงความรู้สึกหลังจากการปฏิบัติกรรมฐานในครั้งที่ผ่านมา เราก็จะสามารถแก้ปัญหาการระงับกายสังขารที่หยาบได้โดยไม่ต้องมานั่งทำอารมณ์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา “การระงับกายสังขาร” ก่อนการปฏิบัติจริงในปัจจุบันจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
ลมหยาบและละเอียด
อาจารย์แห่งทีฆนิกายและสังยุตนิกายกล่าวว่า ในทางสมถะนั้นกายสังขาร (ลมหายใจ) นับว่ายังหยาบในชั้นอุปจาระแห่งฌานที่ ๑ จึงละเอียดในชั้นอุปจาระแห่งฌานที่ ๑ ก็นับว่ายังหยาบในชั้นตัวฌานที่ ๑ จึงละเอียดในชั้นฌานที่ ๑ และชั้นอุปจาระแห่งฌานที่ ๒ นับว่ายังหยาบในชั้นตัวฌานที่ ๒ จึงละเอียดในชั้นฌานที่ ๒ และอุปจาระแห่งฌานที่ ๓ นับว่ายังหยาบ ในตัวฌานที่ ๓ จึงละเอียดในชั้นฌานที่ ๓ และอุปจาระแห่งฌานที่ ๔ ก็นับว่ายังหยาบอยู่ แต่ชั้นฌานที่ ๔ จึงละเอียดยิ่งขึ้นจนถึงไม่ปรากฏแห่งลมหายใจ [๘]
ฝ่ายอาจารย์คัมภีร์มัชฌิมนิกายได้กล่าวอีกว่า แม้อุปจาระแห่งฌานชั้นสูง ๆ ก็ละเอียดกว่าตัวฌานชั้นต่ำ ๆ โดยลำดับ เช่น “ในฌานที่ ๑ ลมหายใจยังหยาบ ในอุปจาระแห่งฌานที่ ๒ จึงละเอียดขึ้น” แต่อาจารย์ทั้งหมดก็เห็นด้วยกันว่า กายสังขาร (ลมหายใจ) ในเวลาที่ยังมิได้กำหนดถือเอาพระกรรมฐานไประงับลงในเวลาที่กำหนดถือเอาพระกรรมฐานแล้ว กายสังขาร
ในเวลาที่กำหนดถือเอาพระกรรมฐาน ก็ไประงับลงในอุปจาระแห่งฌานที่ ๑ กายสังขารใน
อุปจาระแหงฌานที่ ๔ ไประงับลงในฌานที่ ๔ นั้นเอง
ในขั้นนี้ ก็เช่นเดียวกัน ผู้ปฏิบัติถ้าสามารถ ทำความรู้สึกรู้ตัวทั่ว พร้อมการเข้าไปกำหนดองค์แห่งฌาน ก็จะง่ายขึ้นละเอียดขึ้น ก่อนการเริ่มและหลังเริ่มเราต้องทำความรู้สึกในอารมณ์แห่งความเป็นฌานด้วยการเข้าไป ระลึกนึกถึง (เรียกว่าวิตก)เมื่อเข้าไปตั้งในอารมณ์อยู่ก่อนแล้วก็ตรวจสอบอารมณ์ว่าคงที่เหมือนครั้งก่อนหรือไม่ (เรียกว่าวิจารณ์) เมื่อกายเกิดการตอบรับ(เรียกว่าปีติ)ความอิ่มใจ (เรียกว่าสุข) การทรงอยู่ (เรียกว่าเอกัคคตา) ตรงนี้เรียกว่า “ปฐมฌาน” เมื่อปฏิบัติไป ก็จะสามารถแยกอารมณ์ได้ ละได้ก็จะสามารถพัฒนาจิตให้ถึงความสุขที่แท้จริงได้
ลมหยาบและละเอียดแห่งวิปัสสนา
การหายใจในตอนที่กำหนดทั้งรูปและอรูปนั้นนับว่ายังหยาบ แต่ตอนที่กำหนดปัจจัยแห่งนามรูปจึงละเอียดเข้า ในตอนที่กำหนดปัจจัยนั้นนับว่ายังหยาบ แต่ตอนที่เห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยนั้นถือว่ายังหยาบ แต่ตอนที่เห็นไตรลักษณ์เป็นอารมณ์จึงละเอียดเข้า วิปัสสนากำลังอ่อนก็ถือว่าหยาบ ในวิปัสสนากำลังกล้าจึงละเอียดเข้าอีก
จากความดังกล่าวทำให้เราสอบอารมณ์ซึ่งในการปฏิบัติธรรมในครั้งแรก ๆ เราคงยังไม่สามารถทรงอารมณ์ ไว้ได้นาน ๆ อาจารย์รุ่นเก่า ๆ ท่านได้ทรงชี้แนะหลักการทรงอารมณ์ไว้ว่า เมื่อสามารถทรงอารมณ์ได้แล้ว ลมหยาบจะค่อย ๆ หายไป จางไป ความรู้สึกว่าเรายังหายใจอยู่แต่มีน้อย (แต่ยังมีความรู้สึกได้อยู่) ท่านเรียกการปฏิบัติตรงจุดนี้ว่า การทรงอารมณ์ละเอียดที่เริ่มเป็นตัววิปัสสนาแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อเราทรงอารมณ์อยู่ ความคิด(วิตก) จะบังเกิดกับจิตของผู้ปฏิบัติ บางคนวิเคราะห์เจาะลึกให้เห็นความชัดเจนของธรรมนั้น ท่านเรียกว่า (วิจารณ์) เมื่อทรงอารมณ์อยู่ทั้ง ๒ ข้อดังกล่าวแล้วให้นักปฏิบัติ สังเกตว่าบางครั้งมีปีติเกิดขึ้น บางครั้งไม่เกิดปีติ แต่เข้าไปสู่เอกกัคคตาเลย เมื่อนักปฏิบัติ ปฏิบัติได้อย่างนี้ ก็ให้เข้าใจว่านั่นคือ องค์แห่งปฐมฌาน ที่เริ่มละเอียดกว่าเดิมนั่นเอง ขอให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจในหัวข้อของการปฏิบัติและให้เข้าใจ จิตของตนเองที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่สามารถรู้สึกนึกเห็นได้
วิธีฝึกหัดปฏิบัติ
ในจตุกกะทั้ง ๔ นั้น พระพุทธองค์ตรัสช่องปฏิบัติแรก [๙] โดยเป็นกรรมฐานสำหรับ
ผู้เริ่มปฏิบัติส่วนอีก ๓ ช่องที่เหลือ ตรัสสำหรับผู้ได้ฌานในช่องแรกนี้ โดยเป็นเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา เพราะเหตุนั้นผู้เริ่มปฏิบัติเจริญกรรมฐานนี้แล้วบรรลุ
พระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาโดยอาศัยวิปัสสนามีอานาปานจตุตถฌานเป็นปทัฏฐาน ควรทำศีลให้บริสุทธิ์ เป็นต้น โดยนัยที่กล่าวแล้ว จึงเรียนกรรมฐาน ๕ ระดับ จากอาจารย์ต่อไป
กรรมฐาน ๕ ระดับนั้น ได้แก่
๑. การเรียนเอาแบบแผนกรรมฐาน ชื่อว่า อุคคหะ
๒. การไต่ถามข้อความกรรมฐาน ชื่อว่า ปริปุจฉา
๓. ความปรากฏแห่งนิมิตกรรมฐาน ชื่อว่า อุปัฏฐาน
๔. ความแน่วแน่แห่งกรรมฐาน ชื่อว่า อัปปนา และ
๕. ความกำหนดกรรมฐานไว้ ชื่อว่า ลักษณะ
เมื่อพระโยคาวจรเรียนเอากรรมฐาน ๕ ระดับแล้วทำให้ตัวเองไม่ลำบากและไม่เบียดเบียนอาจารย์ด้วย เพราะฉะนั้นพระโยคาวจรควรให้อาจารย์แสดงอานาปานสติให้ฟังคราวละน้อย ใช้เวลาสาธยายไปนาน ๆ เรียนกรรมฐานให้ได้ ๕ ระดับแล้วอยู่ในสำนักของอาจารย์ หรือเสนาสนะอื่น ๆ ดังกล่าว ตัดความกังวลเล็กน้อย ฉันอาหาร พักผ่อนให้สบายแล้วนั่งให้สบาย
ทำจิตให้ร่าเริงด้วยการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย แล้วพิจารณากรรมฐานตามขั้นตอนต่อไป ดังนี้
๑. การนับลมหายใจ คณนา
๒. การติดตามลมหายใจ อนุพันธนา
๓. การที่ลมกระทบ ผุสนา
๔. การตั้งจิตมั่นหรืออัปปนา ฐปนา
๕. การกำหนดจิตได้ชัดหรือวิปัสสนา สัลลักขณา
๖. การหยุดหรือมรรค วิวัฏฏนา
๗. การหมดจดหรือผล ปาริสุทธิ
๘. การทบทวนขั้นตอน ปฏิปัสสนา
เมื่อนักปฏิบัติได้เจริญกรรมฐานทั้ง ๕ แล้วด้วยวิธีการต่าง ๆ ข้างต้นดำรงสติให้มั่น
ในช่วงนี้นิวรณ์ ๕ กำลังจะเข้ามาในอารมณ์ของกรรมฐานมาเพื่อทำลายไม่ให้สติปัญญา
เกิดขึ้นความมึนงงและความรำคาญซึ่งเกิดจากนิวรณ์ ๕ ตัวกั้นความดี ไม่ให้บรรลุธรรมขั้นสูง เพราะฉะนั้น ในช่วงแรกของการปฏิบัติจะต้องฝึกกำหนดนับลมหายใจเข้า–ออกให้สติเต็มพร้อมบริบูรณ์แล้วจึงพิจารณาด้วยปัญญาวิปัสสนาภาวนาต่อไป
วิธีนับลมหายใจ
ผู้เริ่มปฏิบัติสมาธิ ควรมนสิการกรรมฐาน ด้วยวิธีนับก่อน กล่าวคือเมื่อนับไม่ควรหยุดก่อน ๕ ไม่ควรนับเกิน ๑๐ ไม่ควรนับให้ขาดในระหว่างการนับ เมื่อหยุดก่อน ๕ จิตจะ
ดิ้นรนอยู่ในระยะสั้น ดังฝูงโคถูกกั้นไว้ในคอกแคบ ๆ ดิ้นไปมาอยู่นั่นเอง เมื่อนับไปเกิน ๑๐
จิตก็จะพะวงอยู่ในการนับเสีย โดยไม่พะวงถึงกรรมฐาน
เมื่อการนับขาดตกในระหว่างจิตจะหวั่นไป และคิดท้อว่ากรรมฐานของเราจะถึงที่สุดหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ควรนับเว้นข้อบกพร่องเหล่านั้นเสีย
วิธีนับแบบช้า
ผู้เริมปฏิบัติสมาธิควรนับโดยวิธีช้า คือ นับอย่างคนตวงข้าเปลือก คนตวงข้าวเปลือกตักเต็มทะนานแล้วร้องว่า “๑” แล้วเทลงไป เมื่อตักอีกเห็นมูลฝอยปนอยู่ในข้าวก็เก็บทิ้งมัน
ไปพลางก็เทแล้วร้องว่า “๑. ๑” ไป นับในการนับว่า “๒. ๒” เป็นต้น ก็ดุจนัยเช่นเดียวกันนี้ ทำนองเดียวกัน ผู้เริ่มปฏิบัติควรถือเอาลมหายใจเข้า – ออก และนับเริ่มแต่ว่า ๑. ๑ จนถึง ๑๐. ๑๐ เมื่อนับอยู่อย่างนั้น ลมหายใจเข้า – ออก ย่อมปรากฏชัดเจน
วิธีนับแบบเร็ว
วิธีนับเร็ว คือนับอย่างโคบาลนั่นเอง โคบางผู้ฉลาดพกก้อนกรวด ถือเชือกและไม้ตะพดไปยังคอกโคแต่เช้าตรู่ เปิดประตูออก หวดหลังโคหลายตัวเข้าให้ แล้วขึ้นนั่งบนปลายเสาลิ่ม คอยนับแม่โคออกมาถึงประตูว่า ๑, ๒ โดยซัดกรวดลงทีละเม็ดเป็นคะแนนเรื่อยไป ฝูงโคอยู่กันลำบากในที่แคบมาตลอด ๓ คืน
เมื่อออกไปก็เบียดเสียดกันเป็นกลุ่ม ๆ โดยเร็ว โคบาลนั้นก็นับเร็ว ๆ เหมือนกันว่า ๓, ๔, ๕, ๑๐ ทำนองเดียวกัน เมื่อผู้เริ่มปฏิบัตินับอยู่ด้วยนัยก่อน ลมหายใจเข้าออก – ออก ปรากฏแล้วเดินเร็วขึ้น เมื่อทราบว่าลมเดินถี่แล้ว อย่าได้นับเอาลมข้างในและข้างนอก นับเอาแต่ที่มันมาถึงช่องจมูกเท่านั้น นับเร็ว ๆ ว่า
๑, ๒, ๓, ๔
๑, ๒, ๓, ๔, ๕
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙
๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐
ในกรรมฐานที่เนื่องด้วยการนับนั้น จิตจะมีอารมณ์เดียวได้ก็เพราะกำลังการนับเท่านั้น ดุจการหยุดของเรือในกระแสน้ำเชี่ยว จะมีได้ก็ด้วยอำนาจการค้ำไว้ด้วยถ่อ เมื่อนับเร็ว ๆ อย่างนั้น กรรมฐานย่อมปรากฏดังเช่นไม่มีช่องว่าง ครั้นทราบว่ากรรมฐานปรากฏตลอดเวลา ก็อย่าเพิ่งกำหนดลมข้างในและข้างนอก พึงนับเร็ว ๆ โดยนัยที่กล่าวแล้ว เพราะว่าเมื่อส่งจิตไปพร้อมกับลมที่เข้าข้างใน จิตจะรู้สึกเป็นเหมือนถูกลมปะทะหรือเหมือนเต็มไปด้วยมันข้นอยู่ข้างใน
เมื่อปล่อยจิตออกไปพร้อมกับลมที่ออกข้างนอก จิตก็จะแส่ส่ายไปในอารมณ์ภายนอกเสีย เมื่อตั้งสติไว้ตรงที่ลมกระทบนั่นเอง การภาวนาในอารมณ์ภายนอกเสีย เมื่อตั้งสติไว้ตรงที่ลมกระทบนั่นเอง การภาวนาจึงจะสำเร็จได้
ถาม : เราจะต้องนับลมนั้นไปนานเท่าไร
ตอบ : นับไปจนกว่าหยุดนับแล้ว สติ ก็ยังตั้งแน่วอยู่ได้ในอารมณ์ คือ การหายใจเข้า–ออก เพราะว่าการนับทำให้ตัดความตรึกที่ซ่านไปแล้วตั้งสติไว้ในอารมณ์ คือลมหายใจนั่นเอง
วิธีติดตามลมหายใจ
เมื่อเลิกนับเสียแล้ว ใช้สติ[๑๐] ตามลมหายใจเข้า – ออกไปมิให้ขาดระยะชื่อว่า การติดตามลมหายใจ การทำเช่นนั้นไม่ควรทำโดยวิธีติดตามไปกำหนดต้นลม กลางลมและปลายลม เพราะว่าลมที่ออกข้างนอกนั้นมีสะดือเป็นต้น หทัยเป็นกลาง จมูกเป็นปลาย แต่ลมเข้าข้างใน มีปลายจมูกเป็นต้น หทัยเป็นกลาง สะดือเป็นปลาย เมื่อผู้เริ่มปฏิบัติติดตามลมนั้นไปจิตที่แกว่งไปมา จะเกิดความป่วนปั่นและหวั่นไหว ดังที่คัมภีร์ปฏิสัมภิทากล่าวว่า “เมื่อภิกษุใช้สติตามลมหายใจเข้า ทั้งต้น กลาง และปลาย ทำให้จิตแกว่งไปมาอยู่ภายในทั้งกายและจิตย่อมจะป่วนปั่น หวั่นไหว และวุ่นวายไป เมื่อภิกษุใช้สติตามลมกายใจออก ทั้งต้น กลาง และปลาย ก็ทำให้จิตแกว่งไปมาอยู่ภายใน ทั้งกายและจิตย่อมจะป่วนปั่นหวั่นไหว และวุ่นวายได้ “เพราะเหตุนั้น เมื่อจะมนสิการโดยวิธีติดตามลมหายใจ อย่าเพิ่งมนสิการไปตามกำหนดต้น กลาง และปลายโดยตรง ควรมนสิการโดยวิธีผสมไปพร้อม ๆ กัน แท้จริง การมนสิการโดยวิธีสัมผัส และวิธีสัมผัส และวิธีตั้งจิตมิได้เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ดังวิธีนับและการติดตามผู้ที่นับลมอยู่ตรงที่ลมกระทบนั่นแหละชื่อว่า มนสิการโดยวิธีนับและวิธีสัมผัส ด้วยผู้ที่เลิกนับแล้ว ติดตามลมเข้า- ออกด้วยสติ และตั้งจิตไว้ตามหลักอัปปนาในที่ลมกระทบนั่งเอง เรียกว่าการมนสิการโดยติดตามสัมผัส และ ตั้งจิตด้วย เช่น เดียวกับคนง่อย คนรักษาประตู และเลื่อยไปเราเรียกว่า
๑. คนง่อยไกวชิงช้า ให้แม่ลูกเล่นชิงช้ากัน และนั่งอยู่ที่โคนเสาชิงช้า มองเห็นปลาย ๒ ข้าง และตรงกลางกระดานชิงช้าที่แกว่งมาและไปอยู่โดยลำดับ แต่ก็มิได้ตั้งใจจะดูปลายปลายทั้ง ๒ ข้าง และกลางของกระดานชิงช้าทำนองเดียวกัน เมื่อพระโยคาวจรยืนที่โคนเสาเป็นที่ผูกจิต คือ ปลายจมูก ด้วยอำนาจแห่งสติ ไกวชิงช้าคือลมหายใจเข้า – ออก แล้วนั่งลงที่นิมิตด้วยสติ เมื่อติดตามไปด้วยสติ ตั้งจิตไว้มั่นตรงที่ลมกระทบย่อมเห็นต้นกลางและปลายของลมหายใจเข้า – ออก ในที่มันมาและไปกระทบโดยลำดับ ทั้ง ๆ ที่ไม่ตั้งใจจะดูมันเลย
๒. คนรักษาประตู ไม่เที่ยวสอบสวนคนที่อยู่ในเมือง และนอกเมือง ว่าเป็นใคร มาแต่ไหน จะไปไหน หรืออะไรอยู่ในมือ เขาจะมีหน้าที่สอบสวนแต่คนที่มา ๆ ถึงประตูเท่านั้น ทำนองเดียวกัน ลมเข้าข้างในหรือลมออกข้างนอก ไม่เป็นภาระของเรา ลมที่มาถึงช่องจมูกเท่านั้นเป็นภาวะที่จะรับรู้ไว้
๓. นิมิตลมเข้าและลมออก มิได้เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวกันแต่เมื่อไม่รู้ธรรม ๓ อย่างนี้ ภาวนาก็ไม่สำเร็จ นิมิตลมเข้าและลมออก มิได้เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวก็จริง แต่เมื่อรู้ธรรม ๓ อย่างนี้ การปฏิบัติสมาธิภาวนาย่อมสำเร็จได้ (ปฏิสัมภิทา)
การฝึกปฏิบัติพระกรรมฐาน ในสมถะกรรมฐานในเบื้อต้นให้ปฏิบัติไปตามคำแนะนำของครูอาจารย์ เมื่อเราได้แนวทางการปฏิบัติแล้ว เราก็จะต้องมาวิเคราะห์ให้เข้าใจถึงหลักปฏิบัติที่ท่านทรงสอนไว้ เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อวัตรปฏิบัตินั้นว่า เป็นจริงตามนั้นหรือไม่เมื่อตรวจสอบจากการปฏิบัติ ตามความเป็นจริงแล้ว คำสอนของครู – อาจารย์ นักปฏิบัติต่าง ๆอาจตรงกับเราก็ได้ ไม่ตรงกับเราก็ได้ เหตุนี้เพราะอะไร? ก็เพราะว่าภูมิธรรมของแต่ละคนมีการสั่งสมมาไม่เหมือนกัน อุปมาเหมือนคนขับรถสิบล้อ เขามีความชำนาญในการขับรถสิบล้อให้เขาไปหัดขับรถมอเตอร์ไซ ความชำนาญไม่มี ถามว่าแล้วขับได้หรือไม่? ตอบว่าขับได้แต่ต้องฝึกหัดขับใหม่ ข้อนี้ฉันใด การปฏิบัติสมาธิจิตในชาติหนึ่ง ๆ ตอนหนึ่ง ๆ ก็ขาดหายไปเมื่อได้ลองปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง สัญญาเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วก็ฟื้นคืนกลับมา ฉันนั้น
การจะรักษาอารมณ์เดิมให้ได้นั้น นักปฏิบัติต้องรู้จักธรรมข้อหนึ่งที่ควรมีและต้อง
ฝึกให้มีให้เกิดให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ ก็คือ โยนิโสมนสิการ คือการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย โยนิโสมนสิการ คือการกำหนดใคร่ครวญข้อปฏิบัติในขณะนั้นด้วยใจใฝ่รู้และต่อเนื่องโดยการใคร่ครวญและทรงอารมณ์อยู่ขณะ ทรงอารมณ์อยู่มี ๒ ลักษณะคือ
๑. ใจมีอารมณ์เป็น เอกัคคตา มีอารมณ์เดียว มีความนิ่ง มีความรู้ชัด มีความสงบระงับในความคิดหรือปัจจัยอื่นอีก
๒. เกิดการโต้ตอบกันไปมาในจิตดวงนี้ (เรียกว่าตัวธรรม)
สำหรับผู้มนสิการเช่นนี้ บางท่านนิมิตจะเกิด และอัปปนาแห่งองค์ฌาน ที่เหลือจะสำเร็จไม่ช้า สำหรับบางท่านเมื่อความกระสับกระส่ายทางกายระงับลงเพราะการดับไปแห่งลมหายใจเข้า – ออกหยาบโดยลำดับ นับแต่เวลาที่มนสิการโดยวิธีนับ กายและจิตย่อมเบา สรีระปรากฏเหมือนอาการลอยอยู่ในอากาศ
เมื่อกายกระสับกระส่าย นั่งบนเตียงหรือตั่ง ย่อมโยกสั่น ผ้าปูนั่งย่อมยับ แต่เมื่อกายไม่กระสับกระส่าย เตียงตั่งก็ไม่โยกสั่น ผ้าปูนั่งก็ไม่ยับ เตียงตั่งเป็นเหมือนยัดนุ่น เพราะกายที่ไม่กระสับกระส่าย ย่อมรู้สึกเบา
เมื่อเป็นเช่นนั้น พระโยคาวจรยังมีลมหายใจเข้า – ออกที่ละเอียดเป็นอารมณ์อยู่ แม้นิมิตดับ จิตดวงต่อ ๆ ไปก็ยังมีนิมิตแห่งลมที่ละเอียดกว่าเป็นอารมณ์ต่อไปอยู่
ถาม : สภาวะที่ปรากฏเป็นอย่างไร
ตอบ : เป็นเหมือนคนเคาะกังสดาลด้วยแท่งโลหะ เสียงดังจะเกิดขึ้นฉับพลัน จิตของเขาจะมีเสียงหยาบเป็นอารมณ์ ครั้นเสียงหยาบดับไป จิตของเขาจะมีเสียงที่ละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อนิมิตนั้นดับไป จิตดวงต่อไปก็ยังมีนิมิตแห่งเสียงที่ละเอียดกว่านั้นเป็นอารมณ์ต่อไป
ในความข้อนี้ เมื่อบุคคลได้มีการฝึกหัดปฏิบัติอยู่ ย่อมต้องผ่านเส้นทางของธรรมที่เรียกว่า ธรรมชาติ ๆ คืออะไร ? ธรรมะแปลว่าสภาพที่เป็นไปไม่มีใครกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ว่าชนชาติใดภาษาใดก็ตามคนก็คือคนในความเป็นบุคคลก็คือธรรมชาติที่มีองค์ประกอบของมันอยู่แล้ว การที่นักปฏิบัติเข้าสู่สภาวะที่ปรากฏ เช่นนั่งปฏิบัติไปร่างกายกระสับกระส่าย นั่งบนเตียงหรือตั่ง ย่อมโยกสั่น ผ้าปูนั่งย่อมยับ แต่เมื่อกายไม่กระสับกระส่าย เตียงตั่งก็ไม่โยกสั่น ผ้าปูนั่งก็ไม่ยับ เตียงตั่งเป็นเหมือนยัดนุ่น เพราะกายที่ไม่กระสับกระส่าย ย่อมรู้สึกเบาด้วย เหตุนี้ฉันใด การที่นักปฏิบัติไม่ผ่านขั้นตอนนี้มีหรือไม่ ? ตอบไม่มี ตราบใดที่เรายังเป็นโลกิยะชนอยู่ต้องเป็นไปตามสภาพของสังขาร (อาการที่เกิดร่วมกับจิตเรียกว่าเจตสิก) ที่เขาปรุงแต่งอยู่
ลักษณะที่แตกต่าง
กรรมฐานนี้มิได้เป็นอย่างกรรมฐานอื่น ๆ ที่เจริญไปก็ยิ่งชัดแจ้งยิ่งขึ้น เมื่อเจริญกรรมฐานนี้ยิ่งขึ้นไป ลมที่ปรากฏละเอียดลงจนถึงไม่ปรากฏ เมื่อกรรมฐานที่ลมไม่ปรากฏเช่นนั้น ก็อย่าลุกจากที่นั่งหนีไปเสีย
ถาม : เราควรทำอย่างไรต่อไป
ตอบ : อย่าคิดว่าจักไปพบอาจารย์ หรืออย่าเข้าใจว่า กรรมฐานของตนเสื่อมแล้วลุกหนีไปเสีย เพราะเมื่อเราเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว กรรมฐานก็เริ่มใหม่ เพราะฉะนั้น ให้นั่งอยู่ตามเดิม แล้วนำลม จากตำแหน่งเดิมที่มันกระทบต่อไป
เพราะว่าภูมิธรรมแต่ละคนมีความ สลับซับซ้อนยากที่คนสามัญจะไปกำหนด ถือเอาได้ แต่ก็ยังสามารถ รับรู้ได้เพราะผลของสมาธิที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ที่ปัญญาแทงตลอดซึ่งอวิชชา ในระหว่างการปฏิบัติมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังแห่งสมาธิ ท่านพระธรรมปิฎก ได้กล่าวถึงสมาธิในช่วงนี้ไว้ว่า “อาการที่จิต พอแค่มีอารมณ์หนึ่งเดียวลงได้โดยภาวะที่เป็นตัวของตัวเองอยู่ภายใจ ตามความในข้อที่ ๑. ที่ว่าจิตตั้งมั่น ดำรงแน่วเป็นอย่างดีในภายในบาปอกุศลธรรมไม่อาจครอบงำได้ ภาวะจิตขั้นนี้แหละเป็นมูลสมาธิความต่อไปในข้อที่ ๒.เป็นขั้นเจริญ คือพัฒนามูลสมาธินั้นให้มั่นคงอยู่ตัวยิ่งขึ้นด้วยวิธีเจริญเมตตา ท่านเปรียบมูลสมาธิเหมือนกับไฟที่เกิดขึ้นจากการสีไม้สีไฟหรือตีเหล็กไฟ ส่วนการพัฒนามูลสมาธินั้นด้วยการเจริญเมตตาเป็นต้น ก็เหมือนกับเอาเชื้อไฟมาต่อให้ไฟลุกไหม้ต่อไปได้อีก ส่วนข้อที่ ๓.เป็นขั้นทำให้มูลสมาธิหรือขณิกสมาธินั้น เจริญขึ้นไปจนกลายเป็นอัปปนาสมาธิ (ผ่านอุปจารสมาธิ) ในขั้นฌาน ด้วยวิธีกำหนดอารมณ์อื่น ๆ เช่น กสิณ เป็นต้น” [๑๑]
เมื่อผู้ปฏิบัติรู้ว่ากรรมฐานของตนหายไป ควรวิเคราะห์ดูให้ชัดเจนว่า ลมหายใจ
เข้า – ออกอยู่ที่ไหน ไม่มีที่ไหน มีแก่ใคร ไม่มีแก่ใคร เมื่อคิดดู เช่นนั้นก็จะทราบได้ว่า “ลมหายใจเข้า – ออกนี้ ไม่มีแก่คนเหล่านี้ คือ
๑. ทารกผู้อยู่ในท้องของมารดา
๒. พวกคนที่ดำน้ำ
๓. พวกคนที่สลบ
๔. คนที่ตายแล้ว
๕. ผู้เข้า จตุตถฌาน
๖. ผู้อยู่ในรูปภพและอรูปภพ
๗. ผู้เข้านิโรธ(สมาบัติ)
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องเตือนตัวเองว่าตนเองมิได้อยู่ในสภาวะอะไรซักอย่างเลย จะขาดลมหายใจนั้นจะมากไปหน่อยกระมัง ใครทำดีแล้วจะได้มีดีต่อไป ก็ลมอัสสาสะ ปัสสาสะนี้ สำหรับคนจมูกยาวนั้น ลมหายใจเข้า – ออกกระทบโพรงจมูก และคนจมูกสั้นกระทบตรงไหน แม้พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เป็นผู้ควรปฏิบัติอานาปานสติภาวนา[๑๒]
กรรมฐานทุกอย่างย่อมอาศัยการมีสติสัมปชัญญะเป็นฐาน เมื่อภิกษุมนสิการกรรมฐาน อื่น ๆ ก็ยิ่งเห็นชัด ส่วนอานาปานสติเป็นกรรมฐานที่หนัก และการปฏิบัติก็หนัก เพราะเป็นภูมิมนสิการแห่งพระปัจเจกพุทธ และพระพุทธบุตรผู้สำคัญเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติเพียงนิดหน่อย และไม่ใช่การที่ผู้อ่อนแอจะสัมผัสได้ เมื่อมนสิการด้วยอาการใดก็ทำให้สงบและสุขุมไปได้
เพราะเหตุนั้นกรรมฐานข้อนี้ต้องใช้สติและปัญญาที่กล้าแข็ง เหมือนเวลาชุนผ้าเนื้อละเอียดก็ต้องใช้เข็มเล็ก ด้ายร้อยห่วงเข็มต้องใช้เล็กกว่า ทำนองเดียวกัน เวลาเจริญกรรมฐานนี้ ก็เช่นผ้าเนื้อละเอียด ก็จำต้องใช้สติที่เปรียบด้วยเข็มและปัญญา เช่นเดียวกับสติด้วย
จากคำกล่าวข้างต้นพระบรมศาสดาก็ได้แนะแนวทางและวิธีการทำโยนิโสมนสิการให้เกิดมีขึ้น เพราะโยนิโสมนสิการนั้นมีความสำคัญมากในการ นำหัวข้อธรรมต่าง ๆ มาพิจารณา การใช้โยนิโสมนสิการเป็นการนำหัวข้อธรรมนั้น ๆ มาวิตก วิจารณ์ ให้ผนวกเข้ากับกายแห่งสังขาร
ขอยกวิธีการฝึกหัดและวิธีสอนของพระพุทธเจ้าว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อคราวประทับที่ตำบลคยาสีสะได้ตรัสเล่าวิธีฝึกสมาธิ เพื่ออธิเทวญาณทัสสนะไว้ว่า [๑๓]
๑) เมื่อพระองค์ยังเป็นโพธิสัตว์ก่อนหน้าตรัสรู้ได้รู้จักโอภาส (คือ แสงสว่างทางใจ) แต่ไม่เห็นรูปทั้งหลายได้จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อเห็นรูป
๒) เมื่อพากเพียรไป ได้เห็นรูปดั่งพระประสงค์ แต่ไม่สามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้าได้ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อสามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้า
๓) เมื่อพากเพียรไป ได้สามารถยับยั้งสนทนาปราศรัยกับเทพเจ้าได้ แต่ไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมาจากเทพนิกายใด จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
๔) เมื่อพากเพียรไป ได้ทราบเทพเจ้าเหล่านั้นว่า มาจากเทพนิกายนี้ เทพนิกายโน้นสมปรารถนาแต่ไม่ทราบว่าได้เป็นเทพเจ้าด้วยกรรมอะไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
๕) เมื่อพากเพียรไป ก็ได้ทราบตามความมุ่งหมายข้อ๔ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอาหารอย่างไร เสวยสุขทุกข์อย่างไร จึงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
๖) เมื่อพากเพียรไปได้ทรงทราบตามความมุ่งหมายข้อ ๕ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นมีอายุเท่าไร จะดำรงอยู่นานเท่าไร จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
๗) เมื่อพากเพียรไปได้ทราบความมุ่งหมายข้อ ๖ แต่ยังไม่ทราบว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเคยอยู่ร่วมกับพระองค์มาหรือไม่ จึงทรงตั้งความมุ่งหมายเพื่อทราบ
๘) เมื่อพากเพียรไป ก็ได้ทรงทราบตามความมุ่งหมายข้อ ๗ นั้นสมดังปรารถนา
แล้วตรัสย้ำในที่สุดว่า ภิกษุทั้งหลาย อธิเทวญาณทัสสนะมีบริวัฏ ๘ ประการนี้ ยังไม่บริสุทธิ์ดีเพียงไร เราก็ยังไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงนั้น เมื่อใดอธิเทวญาณทัสสนะมีปริวัฏ ๘ ประการนี้บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้นเราจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแจ้งชัดญาณทัสสนะได้เกิดแก่เราว่า เจโตวิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ไม่มีอีกดังนี้ รวมใจความของวิธีตามที่ตรัสนี้ได้ว่า
ก. ทำให้เกิดโอภาส คือแสงสว่างโดยวิธีดังจะกล่าวข้างหน้า
ข. ดำรงสมาธิไว้ให้ได้นานที่สุดที่จะนานได้
ค. สำเหนียกเพื่อรู้เรื่องควรรู้เกี่ยวกับเทพเจ้านั้นจนรู้หมดทุกประการ
เมื่อมีอธิเทวญาณทัสสนะ ๘ ประการนี้แล้วชื่อว่ามีทิพย์จักขุ เห็นรูปทิพย์ได้ ดังได้ยกมากล่าวไว้ข้างต้นว่า ผู้ปฏิบัติหวังผลควรฝึกตามทรรศนะที่พระองค์ทรงแนะนำ
ข้อสังเกต
ผู้มีปัญญานั้นอย่าเพิ่งมองหา ลมหายใจเข้า – ออกในที่อื่น นอกเหนือไปจากลมกระทบตามปกติ เหมือนชาวนาไถแล้วปล่อยโคให้มันบ่ายหน้าสู่ที่หากินแล้วนั่งพักคอยอยู่ในร่มครั้นถึงเวลาใช้งานแล้ว ชาวนาที่ฉลาดจะไม่ตามรอยเท้ามันไปหา แต่จะถือเชือกและปฏักตรงไปท่าน้ำ แล้วนั่งหรือนอนคอยอยู่ให้สบายใจ เมื่อเห็นโคพากันลงสู่ท่าน้ำเพื่อดื่ม และนอนแช่น้ำขึ้นมายืนบนฝั่ง จึงเข้าไปจับมาเข้าไถต่อไป
ทำนองเดียวกัน เราก็ไม่พึงแสวงหาลมหายใจเข้า – ออก นอกเหนือจากที่ลมกระทบตามปกติ จงถือเชือกคือสติ และปฏักคือปัญญา ตั้งจิตไว้ตรงที่ลมกระทบตามปกติ มนสิการกรรมฐานต่อไป
เมื่อปฏิบัติอยู่เช่นนั้น ลมจะปรากฏขึ้นไว ดุจโคปรากฏตัวที่ท่าน้ำเสร็จแล้ว จงผูกไว้ด้วยเชือกคือสติ เทียมไว้ที่ปลายจมูก แทงด้วยปฏักคือปัญญา ปฏิบัติกรรมฐานต่อไป เมื่อกระทำไปเช่นนั้นนิมิตก็จะปรากฏชั่วเวลาไม่นาน
การกำหนดนามรูป
ผู้มีฌาน ๔ หรือฌาน ๕ เกิดแล้วเช่นนี้ ปรารถนาจะเจริญกรรมฐานโดยวิธีวิปัสสนามรรคและผล ในอานาปานสติภาวนานี้ ให้ทำฌานมีความชำนาญทั้ง ๕ ระดับเสียก่อน แล้วกำหนดนามรูปเป็นฐานวิปัสสนา
ถาม : เริ่มต้นอย่างไร
ตอบ : พระโยคาวจรออกจากฌานสมาบัติแล้วย่อมเห็นว่า กายและจิตด้วยเป็นเหตุเกิดลมหายใจเข้า – ออก เปรียบเหมือนเตาสูบลมของช่างทอง เมื่อถูกซัดออก ลมอาศัยสูบและ
การกระทำของช่างทองย่อมเข้าออกได้ ลมหายใจก็อาศัยกายและจิตประกอบกันจึงเข้าออกได้
ต่อจากนั้น จงกำหนดลงไปว่าลมหายใจและกายเป็นรูป จิตและธรรมที่เกิดกับจิตเป็นอรูป
จะกล่าวละเอียดในโอกาสต่อไป
ครั้นกำหนด นามรูป เป็นต้นเช่นนี้แล้ว ก็ค้นหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องเมื่อพบเห็นแล้ว ก็ข้ามพ้นความสงสัย พิจารณาความเป็นไป นามรูปในกาลทั้ง ๓ เสีย แล้วยกนามรูปขึ้นสู่ไตรลักษณ์ โดยเห็นเป็นเพียงกลุ่มอะตอมเท่านั้น ละวิปัสสนูปกิเลส ๑ มีโอภาส (แสงสว่าง) เป็นต้น ที่เกิดขึ้นในส่วนเบื้องต้นแห่งการเห็นความเกิดแห่งนามรูปเสีย กำหนดหาแนวปฏิบัติให้พ้นจากอุปกิเลส จนเกิดความเบื่อหน่ายหายรักในเรือนร่าง จนปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะเห็นแก่การสลายหาระหว่างมิได้ จนก้าวถึงอริยมรรค ๔ ตามลำดับ ตั้งอยู่ในอรหัตตผล ในที่สุดแห่ง ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ประการ เป็นอัครบุคคลของโลกและเทวดาด้วย
ประโยชน์ของการพิจารณา อนุสสติ ๑๐
อานิสงส์ของการเจริญพุทธานุสสติ ก็แลภิกษุผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งพุทธานุสสตินี้ ย่อมเป็นผู้มีความเคารพมีความยำเกรงในพระศาสดาได้ความไพบูลย์แห่งศรัทธา ความไพบูลย์แห่งสติ ความไพบูลย์แห่งปัญญา และความไพบูลย์แห่งบุญเป็นผู้มากไปด้วยปีติและปราโมช ทนต่อความกลัวและความตกใจสามารถอดกลั้นทุกข์มีความรู้สึก(เสมือน)ว่าได้อยู่กับพระศาสดา อนึ่ง แม้สรีระของเธออันพุทธคุณานุสสติประทับอยู่ย่อมเป็นร่างควรแก่การบูชาดุจเรือนพระเจดีย์จิต ( ของเธอ ) ย่อมน้อมไปในพุทธคุณ อนึ่ง ในเมื่อมีการประจวบเข้ากับวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิด ( ศีล ) หิริโอตตัปปะ(ความสะดุ้งกลัวต่อบาป ทุจริต) ย่อมจะปรากฏแก่เธอ ราวกะเธอเห็นพระศาสดาอยู่ต่อหน้า อนึ่ง เมื่อยังไม่บรรลุคุณยิ่งขึ้นไปเธอย่อมมีสุคติ(สวรรค์อันเป็นทิพย์)เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้นแล ผู้มีปัญญาดี พึงทำความไม่ประมาทในพุทธานุสสติ อันมีอานุภาพมากอย่างนี้
ทุกเมื่อเทอญ นี้เป็นกถามุข ( คำแก้ข้อที่สำคัญ ) อย่างพิสดาร
อานิสงส์เจริญมรณสติเป็นข้อพิจารณาในมรณานุสติแห่งอนุสสติ ๑๐
ก็แลภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งมรณสตินี้ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาทเนืองนิตย์ ได้อนภิรติสัญญา ( ความหมายว่าไม่น่ายินดี ) ในภพทั้งปวง ละความไยดีในชีวิตเสียได้ เป็นผู้ติการทำบาป
ไม่มากไปด้วยการสะสม ปราศจากมลทิน คือความตระหนี่ในบริขารทั้งหลาย แม้อนิจจสัญญาก็ย่อมถึงความช่ำชองแก่เธอ อนึ่ง ทุกขสัญญาและอนัตตสัญญาก็ย่อมปรากฏ ( แก่เธอ ) ไปตามแนวอนิจจสัญญานั้น สัตว์ทั้งหลายผู้มิได้อบรมเรื่องตายเวลาจะตายย่อมถึงความกลัว ความสะดุ้ง ความหลง ดุจคนถูกสัตว์ร้าย ยักษ์ งู โจร และผู้ร้ายฆ่าคนจู่โจมเอา( ไม่ทันรู้ตัว ) ฉันใด เธอมิได้ถึงความเป็นฉันนั้น เป็นผู้ไม่กลัว ไม่หลงทำกาลกิริยา ถ้าเธอมิได้ชมพระอมตะในทิฏฐธรรมนี้ไซร้ เพราะกายแตก ( ตายไป ) ย่อมเป็นผู้มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้นแล ผู้มีปัญญาดีพึงทำความไม่ประมาทในมรณสติ การลึกถึงคุณของบุคคลผู้มีความดีเป็นสิ่งประเสริฐด้วยการระลึกถึง ด้วยการนั่งใกล้ ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมที่มีพุทธานุสสติเป็นเบื้องต้น มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเป็นท่ามกลาง มีผล (ปฏิเวธ) เป็นที่สุด
สรุป
อนุสสติ คือการปฏิบัติพิจารณาพระกรรมฐาน เพื่อลำลึกถึงบุคคล หรือความประพฤติของตนเอง เพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ในการที่ปฏิบัติธรรม คือการพิจารณา ให้เกิดสมาธิจิตขึ้นอีก
นับว่าพระบรมศาสดามีความฉลาดในการสอนให้บุคคลได้เห็นอุบายวิธี วิธีการในอนุสสติ นี้ก็เช่นกันเมื่อบุคคลเจริญให้มากแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความสุข ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ ให้พ้นภัยคือวัฏฏะสงสารได้ การระลึกถึงคุณบิดา มารดา หรือการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์เองก่อนแล้วสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วยเป็นการทำจิตให้เกิดประโยชน์ในการบำเพ็ญ
พระกรรมฐานให้ใจมีสติคือความระลึกได้มีสมาธิคือความตั้งใจมั่น และสัมปชัญญะคือความรู้ตัวเมื่อปฏิบัติอนุสสติครั้งใดสมาธิก็เกิดขึ้นทำให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อภิกษุใช้สติตามลมหายใจเข้าทั้งต้น กลาง และปลาย ทำให้จิตแกว่งไปมาอยู่ภายใน ทั้งกายและจิตย่อมจะป่วนปั่นหวั่นไหวและวุ่นวายไป เมื่อภิกษุใช้สติตามลมกายใจออกทั้งต้น กลางและปลาย ก็ทำให้จิตแกว่งไปมาอยู่ภายใน ทั้งกายและจิตย่อมจะป่วนปั่นหวั่นไหวและวุ่นวายได้ “เพราะเหตุนั้น เมื่อจะมนสิการโดยวิธีติดตามลมหายใจอย่าเพิ่งมนสิการไปตามกำหนดต้น กลางและปลายโดยตรง ควรมนสิการโดยวิธีผสมไปพร้อม ๆ กัน การฝึกฝนสมาธิกรรมฐานต้องอาศัยความเพียรและระยะเวลา ผู้ศึกษาควรทำให้แจ้งด้วยการปฏิบัติจริงแล้วจะได้ผลจริง
แบบฝึกหัดประจำบทที่ ๓
๑. จงอธิบายความหมายของคำว่า อนุสสติ มาให้ชัดเจน ? พร้อมยกตัวอย่างมาให้ดู
อย่างน้อย ๓ ข้อ?
๒. อนุสสติมีเท่าไร ? อะไรบ้าง ? อธิบาย
๓. จงอธิบายความหมายของอานาปานสติว่า มีความหมายอย่างไร ? มีความสำคัญต่อชีวิต
อย่างไรบ้าง ?
๔. อธิบายความหมายของ กายานุปัสสนาในสติปัฏฐานมาพอเข้าใจ ?
๕. จงอธิบาย คำว่า การรู้สึกตัวตลอดเวลานั้น มีความรู้สึกนั้นอย่างไร ?
๖. ให้ผู้ศึกษาอธิบายว่ากรรมฐานคืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไร ?
๗. จงอธิบาย คำต่อไปนี้ และอธิบายมาให้เข้าใจ
ก. คนง่อย ไกวชิงช้า
ข. คนรักษาประตูเมือง
ค. นิมิตลมเข้าและลมออก
๘. จงเล่าวิธีฝึกสมาธิเมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะว่ามีวิธีการฝึก
อย่างไร ? อธิบายพอเข้าใจ
๙. จงอธิบายวิธีการกำหนด รูป นาม มาพอเข้าใจ ?
๑๐. จงบอกอานิสงส์ ของการเจริญพุทธานุสสติ และมรณสติ มาพอเข้าใจ ?
หนังสืออ้างอิงและอ่านประกอบ
๑. ม. อุ. ๑๔/๑๙๖
๒. สํ. ม. ๑๙/๑๓๐๕/๓๙๔. ,
๓. ขุ. ปฏิ. ๓๑/๓๖๑/๒๔๔.
๔. ส. มหา. ๑๙/๔๐๗.
๕. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), คัมภีร์วิสุทธิมรรค, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
บริษัทประยูรวงศ์พริ้นติ้ง, ๒๕๔๗).
๖. ชมรมชีวานุภาพ. คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมสภา,
๒๕๓๗).
๗. พระเทพวิสุทธิกวี, บทอบรมกรรมฐาน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒๕๓๘).
๘. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), สมาธิ (ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยั่งรู้ และสมาธิแบบ
พุทธ), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๖ ).
๙. พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.ธ.๖), ทิพยอำนาจ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๘ ).
[๑] สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), คัมภีร์วิสุทธิมรรค, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท
ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง, ๒๕๔๗), หน้า ๑๘๔.
[๒] สํ. ม. ๑๙/๑๓๐๕/๓๙๔. , ขุ. ปฏิ. ๓๑/๓๖๑/๒๔๔.
[๓] ส. มหา. ๑๙/๔๐๗.
[๔] คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๓๑. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๓๗).
[๕] พระเทพวิสุทธิกวี, บทอบรมกรรมฐาน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘),
หน้า ๒๔๖.
[๖] คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๕๑.
[๗] คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๕๒ .
[๘] คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๕๓ .
[๙] คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน , เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๕๕.
[๑๐] คัมภีร์วิสุทธิมรรค ฉบับสำหรับประชาชน. เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๖๐ .
[๑๑] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), สมาธิ (ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยั่งรู้ และสมาธิแบบพุทธ),
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๖ ), หน้า ๗ – ๘.
[๑๒] ม. อุ. ๑๔/๑๙๖.
[๑๓] พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.ธ.๖), ทิพยอำนาจ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒๕๔๘ ), หน้า ๓๓๖ – ๓๓๘.


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น