วิปัสสนากรรมฐาน.เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 9




เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 9

พระมหาไพจิตร อุตฺตมธฺโม

รายวิชาการปฏิบัติกรรมฐาน

14 สิงหาคม 2563

เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.








วิปัสสนากรรมฐาน



วิปัสสนากรรมฐานนั้น   เป็นอุบายในการใช้ปัญญาอาศัยหลักการพิจารณาให้ถูกต้องตามสภาพของความเป็นจริง ที่ว่าใช้ปัญญานั้นอย่างไร เมื่อบุคคลได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตามหลักคำสอนขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงตรัส ธรรมและได้ทรงแนะนำหลักการปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ ถึงวิธีการคิด วิเคราะห์ ให้นักปฏิบัติได้ทราบตามความเป็นจริงว่าการใช้วิปัสสนานั้น   ถือเป็นภูมิธรรมชั้นสูง ในการคิดปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญา   แต่บุคคลผู้มีปัญญาต้องเป็นผู้มีความรู้และมีการฝึกฝนในการปฏิบัติธรรมต้องอาศัยหลักกรรมฐานทั้ง     ประการ ประกอบกันนั่นก็คือสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานสองประการนี้จัดเป็นพื้นฐานของการเจริญวิปัสสนาภาวนา ความหมายของวิปัสสนานั้นส่วนใหญ่จะกล่าวถึงหลักของปัญญา เป็นหลักใหญ่การที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งธรรมคือได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น  พระองค์สั่งสมมาเป็นหลายร้อยชาติ ก่อน  ๑๐  ชาติสุดท้ายนั้นพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญตบะบารมีมาโดยตลอดถือว่าพระองค์เป็นผู้หาได้ยากในโลก พวกเราได้เกิดมาในสมัยที่ยังมีพุทธธรรมคำสั่งสอนของพระองค์อยู่นั้น พวกเราควรรีบเร่งปฏิบัติตามพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วตามหลักแห่ง สมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานข้าพเจ้าถือว่าพวกเรามีบุญบารมีที่ได้เกิดในบวรพระพุทธศาสนา  การปฏิบัติพระกรรมฐาน เพราะว่าสังขารทั้งหลายของเราเริ่มเสื่อมไปทุกวัน ชีวิตของเรานั้นสั้นนัก ควรรีบมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมให้เกิดมีขึ้นในกมลสันดานเพื่อเป็นปัจจัยไปทุกชาติทุกภพเพราะว่าเรายังไม่รู้แน่ว่าเมื่อเราสิ้นกาละแล้วจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกเมื่อไร  ดังนั้นจงทำความปรารถนาที่มีอยู่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 




คำว่า  วิปัสสนา   แปลง่าย ว่าการเห็นแจ้งหรือวิธีทำให้เกิดการเห็นแจ้ง  หมายความว่า ข้อปฏิบัติต่าง ในการฝึกฝนอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดสิ่งทั้งหลายตรงต่อสภาวะของมัน คือให้เข้าใจตามความเป็นจริงหรือตาม ที่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นของมันเอง (ไม่ใช่เห็นไปตามที่เราวาดภาพให้มันเป็นด้วยความชอบความชังความอยากได้หรือความขัดใจของเรา) รู้แจ้งชัดเข้าใจจริงจนถอนความหลงผิด  รู้ผิดและยึดติดในสิ่งทั้งหลายได้ถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ทั้ง
ท่าทีแห่งการมองการรับรู้การวางจิตใจและความรู้สึกทั้งหลาย  ความรู้ความเข้าใจถูกต้องที่เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย  

ในระหว่างการปฏิบัตินั้นเรียกว่า  ญาณ  มีหลายระดับ  ญาณสำคัญในขั้นสุดท้ายเรียกว่า วิชชา  เป็นภาวะตรงข้ามที่กำจัดอวิชชา คือความหลงผิดไม่รู้แจ้งไม่รู้จริงให้หมดไป ภาวะจิตที่มีญาณ หรือ วิชชา นั้นเป็นภาวะที่สุขสงบผ่องใสและเป็นอิสระเพราะลอยตัวพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส  เช่น  ความชอบ ความชัง ความติดใจและความขัดใจเป็นต้น ไม่ถูกบังคับหรือชัดจูงโดยกิเลสเหล่านั้น ให้มองเห็นหรือรับรู้สิ่งต่าง อย่างบิดเบือนจนพาความคิดและการกระทำที่ติดตามมาให้หันเหเฉไป และไม่ต้องเจ็บปวดหรือเร่าร้อนเพราะถูกบีบคั้นหรือต่อสู้กับกิเลสเหล่านั้นญาณและวิชชาจึงเป็นจุดมุ่งหมายของวิปัสสนาเพราะนำไปสู่วิมุตติ คือความหลุดพ้นเป็นอิสระที่แท้จริงซึ่งยั่งยืนถาวร  (ท่านเรียกว่า   สมุจเฉทนิโรธหรือสมุจเฉทวิมุตติ  แปลว่าดับกิเลส หรือหลุดพ้นโดยเด็ดขาด)

ถ้าพูดอย่างรวบรัดก็ว่า  ผลที่มุ่งหมายของสมถะคือฌาน   ผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา  คือ ญาณ หรือว่าสมถะนำไปสู่ฌาน   วิปัสสนานำไปสู่ญาณ  ผู้ปฏิบัติสมถะ (สำนวนแบบเรียกว่าบำเพ็ญหรือเจริญสมถะ) อาจทำแต่สมถะอย่างเดียวโดยมุ่งหวังจะชื่นชมเสพผลของสมถะคือฌานสมาบัติและอภิญญาทั้ง    ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับวิปัสสนาเลยก็ได้ เรียกว่าหยุดอยู่เพียงขั้นสมาธิไม่ก้าวไปถึงขั้นปัญญา แต่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา ต้องอาศัยสมถะไม่มากก็น้อย คือ อาจเจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติก่อนแล้วจึงก้าวต่อไปสู่วิปัสสนา   คือเอาฌานเป็นบาทของวิปัสสนา  (เรียกว่าเจริญวิปัสสนาที่มีฌานเป็นบาท) ก็ได้  อาจเริ่มเจริญวิปัสสนาไปก่อน แล้วจึงเจริญสมถะตามหลังก็ได้ หรืออาจเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไปก็ได้ แม้แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจริญแต่วิปัสสนาอย่างเดียวล้วน (สุทธิวิปัสสนายานิก)ไม่อาศัยสมถะเลยก็หมายถึงไม่อาศัยสมถะในความหมายโดยนิปริยาย หรือความหมายจำเพาะที่เคร่งครัด คือไม่ได้ทำสมถะจนได้ฌานสมาบัติก่อนเจริญวิปัสสนาแต่ตามความเป็นจริงก็อาศัยสมถะในความหมายอย่างกว้าง   คือ อาศัยสมาธินั่นเอง สมาธิของผู้เจริญวิปัสสนาแบบนี้อาจเริ่มต้นด้วย ขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) ก็ได้แต่เมื่อถึงขณะที่บรรลุมรรคผล สมาธินั้นจะแน่วแน่สนิท (เป็นอัปปนาสมาธิ) ถึงระดับปฐมฌาน (ฌานที่    หรือ รูปฌานที่  )

การทำให้เกิดฌานสมาบัตินั้นพระกรรมฐานหลายรูปท่านให้ความเห็นว่า ทำให้เกิดมีขึ้นนั้นไม่ยาก แต่การที่จะรักษาคงสภาพให้อยู่ได้นานนั้นเป็นการยากกว่ายกเว้นพระโสดาบันในขั้นของการทรงฌานคือรักษาระดับของความเป็นฌานได้นานที่สุด นั่นแหละคือสิ่งที่นักปฏิบัติต่าง  เป็นห่วงเพราะว่าเมื่อเข้าสู่ความเป็นฌานแล้ว  ก็จะมีปรากฏการณ์ทางจิตในอาการต่าง  ท่านอาจารย์ได้แนะนำว่า วิธีการทรงฌานนั้นท่านให้เพ่งไปสู่จุดศูนย์กลางของดวงจิตมองให้ทะลุ เห็นถึงความไม่เที่ยงดุจดั่งเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อพิจารณาไปเรื่อย ปัญญาก็เกิดมีขึ้นเจริญขึ้น

คำว่า  สมถภาวนา  หรือ ภาวนานั้นเป็นเพียงพัฒนาจิตในขั้นกลาง ทางพระพุทธศาสนาและยังจัดว่าเป็นการพัฒนาจิตเพียงผิวเผิน เพราะสามารถกำจัดกิเลสอันเป็นโรคร้ายของจิตเพียง
ขั้นกลางเท่านั้นยังไม่สามารถกำจัดตัวอวิชชา  ซึ่งเป็นอนุสัยกิเลส อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์
ทั้งมวลลงได้

ส่วนการเจริญวิปัสสนา เป็นการพัฒนาจิตขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา มีผลมากกว่าการบำเพ็ญสมถภาวนา เพราะเป็นการถอนทำลายกิเลสอย่างละเอียด อันเป็นต้นตอของทุกข์ทั้งมวลโดยตรง และเพราะเป็นการพัฒนาจิตเข้าสู่ขั้นความเป็นพระอริยบุคคล 

การฝึกอบรมจิตให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามความจริง เรียกว่า  วิปัสสนาภาวนา  หรือเรียกว่าปัญญาภาวนาและวิปัสสนาภาวนานี้มีอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาอื่นใดในโลก นอกจากพระพุทธศาสนา ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในศาสนาอื่น นั้นไม่มีหลักอนัตตา ซึ่งเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่การปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ดังนั้น วิปัสสนาภาวนานี้จึงเป็นหลักธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ

จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติวิปัสสนานั้นก็เพื่อบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่ดับความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งปวงและเป็นความสุขอย่างสูงสุด (บรมสุข) ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และจัดเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่ในระหว่างที่ผู้ปฏิบัติยังไม่บรรลุพระนิพพานขั้นอรหันต์นั้น ก็ย่อมจะมีความทุกข์ลดน้อยลง และมีความสุขเพิ่มขึ้นตามขั้นของการปฏิบัติ รวมทั้งมีภพชาติดีขึ้นประณีตขึ้นอีกด้วย

การปฏิบัติวิปัสสนาสามารถทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตบริสุทธิ์เป็นขั้น   ไปซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าบรรลุมรรคผลความบริสุทธิ์ของจิตในขั้นแรกเรียกว่าโสดาปัตติมรรคขั้นที่สองเรียกว่า  สกทาคามิมรรค  ขั้นที่สามเรียกว่า  อนาคามิมรรค  ขั้นสุดท้ายเรียกว่า  อรหัตตมรรค ซึ่งเป็นขั้นที่จิตบริสุทธิ์สิ้นเชิงปราศจากกิเลส คือโลภโกรธหลงทั้งมวล ท่านผู้มีจิตบริสุทธิ์เข้าถึงขั้นพัฒนาแล้วเหล่านี้เรียกว่าพระอริยบุคคล  คือบุคคลผู้ประเสริฐ เพราะเป็นผู้มีจิตใจพัฒนาแล้ว เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์เหนือปุถุชนคนสามัญ

จากการศึกษาทฤษฎีวิปัสสนาโดยละเอียดและจากการปฏิบัติวิปัสสนานี้ ทำให้มีความเชื่อมั่นว่า มนุษย์เราในปัจจุบันยังมีหวังบรรลุพระนิพพานอยู่ เพราะทฤษฎีมิได้เปลี่ยนแปลงแปรผันไปจากสมัยพุทธกาลแต่อย่างใดเลย เมื่อคนในสมัยพุทธกาลสามารถบรรลุมรรคผลได้ คนในสมัยนี้หรือในสมัยต่อ   ไปก็ควรสามารถบรรลุมรรคผลได้เช่นเดียวกัน   ดังที่พระพุทธองค์ตรัสกับ
สุภัททปริพาชก ในวันปรินิพพานว่า

ดูก่อนสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้แล (ในศาสนานี้) มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ พระโสดาบัน (สมณะที่ ) พระสกทาคามี (สมณะที่ ) พระอนาคามี (สมณะที่ ) และพระอรหันต์ (สมณะที่ ) ย่อมมีได้ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ลัทธิอื่น ไม่มีพระอริยบุคคลเหล่านี้ ก็ถ้าหากว่าภิกษุทั้งหลายพึงพากันปฏิบัติโดยชอบอยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย 



หลักธรรมในการบำเพ็ญวิปัสสนา

ผู้ปฏิบัตินั้นมีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาในปริยัติธรรมเสียก่อน เมื่อผู้ปฏิบัติได้ทราบแนวทางแห่งการปฏิบัติแล้วจึงได้ลงมือปฏิบัติ   เพราะฉะนั้นการที่บุคคลจะได้สัมผัสกับธรรมที่เป็นอมตธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น (ปฎิเวธ)   ผู้ปฏิบัติหรือผู้เข้าฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานควรทำความเข้าใจหรือควรทราบหลักธรรมในการบำเพ็ญวิปัสสนา ธรรมะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญวิปัสสนาเพื่อการไม่หลงทาง ไม่ออกนอกทาง เพื่อการเข้าใจชัดในการปฏิบัติของตน และเพื่อให้การเจริญวิปัสสนาได้ผลดีเพิ่มขึ้น   เพราะปริยัติย่อมส่องการปฏิบัติแล้ว  การปฏิบัติที่
ถูกต้องย่อมนำผลปฏิเวธมาให้


หัวข้อธรรมที่ควรทราบในการเจริญวิปัสสนา  มีดังนี้

โพธิปักขิยธรรม  ๓๗ 

โพธิปักขิยธรรมคือธรรมที่เป็นองค์ตรัสรู้ หมายความว่าการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรม หรือพระอรหันต์ทั้งหลายได้บรรลุธรรม   ก็ได้ใช้โพธิปักขิยธรรม  ๓๗  ประการนี้เข้าประกอบ  
โพธิปักขิยธรรม  ๓๗  ประการ คือ

สติปัฏฐาน    สัมมัปปธาน      อิทธิบาท  อินทรีย์    พละ  โพชฌงค์    มรรคมีองค์ 





สติปัฏฐาน 

. กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน   การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า กายก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา

. เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน  การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า  เวทนาก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา

. จิตตานุปัสสนา สติปัฏฐาน   การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิต ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

. ธัมมานุปัสสนา สติปัฏฐาน   การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

สัมมัปปธาน 

. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในตน

. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว

. ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในตน

. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม

อิทธิบาท 

. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น

. วิริยะ ความเพียรหมั่นประกอบในสิ่งนั้น

. จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่สิ่งนั้นไม่ทอดธุระ

. วิมังสา การใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งนั้น



พละ 

. สัทธา ความเชื่อ

. วิริยะ ความเพียร

. สติ ความระลึกได้

. สมาธิ ความตั้งใจมั่น

. ปัญญา ความรอบรู้

พละ    ประการนี้  จัดเป็นอินทรีย์ด้วยเพราะเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน

โพชฌงค์ 

โพชฌงค์  แปลว่าธรรมเป็นองค์ตรัสรู้ มี ประการ คือ

. สติ ความระลึกได้

. ธัมมวิจยะ ความสอดส่องธรรม

. วิริยะ ความเพียร

. ปีติ ความอิ่มใจ

. ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ

. สมาธิ ความตั้งใจมั่น

. อุเบกขา ความวางเฉย

มรรคมีองค์

. สัมมาทิฏฐิ  เห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจ 

. สัมมาสังกัปปะ  ดำริชอบ คือ  ดำริออกจากกาม ดำริในการไม่พยาบาท  

และดำริไม่เบียดเบียน

. สัมมาวาจา   เจรจาชอบ คือ เว้นจากวจีทุจริต 

. สัมมากัมมันตะ  ทำการงานชอบ คือ เว้นจากกายทุจริต 

. สัมมาอาชีวะ   เลี้ยงชีวิตชอบ คือ เว้นจากการเลี้ยงชีพในทางที่ผิด

. สัมมาวายามะ   เพียรชอบ คือ เพียรในที่ สถาน (สัมมัปปธาน  )

. สัมมาสติ   ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน 

. สัมมาสมาธิ   ตั้งใจมั่นชอบ คือ เจริญฌาน 

มรรค์มีองค์    ย่อลงในไตรสิกขาดังนี้   สัมมาทิฏฐิ  และสัมมาสังกัปปะ   เป็นปัญญา   สัมมาวาจา   สัมมากัมมันตะ  และสัมมาอาชีวะ  เป็นศีลสัมมาวายามะ   สัมมาสติ และสัมมาสมาธิเป็นสมาธิ

มรรค์มีองค์    ย่อลงในไตรสิกขาดังนี้   สัมมาทิฏฐิ  และสัมมาสังกัปปะ   เป็นปัญญา   สัมมาวาจา   สัมมากัมมันตะ  และสัมมาอาชีวะ  เป็นศีลสัมมาวายามะ   สัมมาสติ และสัมมาสมาธิเป็นสมาธิ


ประโยชน์ของการพิจารณา กายานุปัสสนา

ผลที่เกิดจากสมถะ   อย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นฌานสมาบัติหรืออภิญญาที่สูงพิเศษเพียงไรก็ยังเป็นโลกีย์เป็นของปุถุชนคือคนมีกิเลสเสื่อมถอยได้ เช่น ฤทธิ์ที่พระเทวทัตได้ เจโตวิมุตติ ของพระโคธิกะ และฌานสมาบัติของพระภิกษุสามเณร ฤาษีและคฤหัสถ์บางท่านที่มีเรื่องเล่าต่อกันมาในคัมภีร์ต่าง   เป็นของมีมาก่อนพุทธกาล  เช่น อาฬารดาบส  กาลามโคตร ได้ถึงอรูปฌานที่   
อุททกดาบส  รามบุตร  ได้ถึงอรูปฌานที่    เป็นต้น เป็นของมีได้ในลัทธิภายนอกพระพุทธศาสนา มิใช่จุดหมายของพระพุทธศาสนาเพราะไม่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ได้อย่างแท้จริง นักบวชบางลัทธิทำสมาธิจนได้ฌาน    แต่ยังมีมิจฉาทิฎฐิเกี่ยวกับเรื่องอัตตา และยึดถือภาวะในฌานนั้นว่าเป็นนิพพานก็มี  ลัทธิเช่นนี้พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ  ผลที่ต้องการจากสมถะตามหลักพุทธศาสนา คือการสร้างสมาธิเพื่อใช้เป็นบาทฐานของวิปัสสนา  จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาสำเร็จได้ด้วยวิปัสสนา  คือการฝึกอบรมปัญญาที่มีสมาธินั้นเป็นบาทฐาน  หากบรรลุจุดหมายสูงสุดด้วยและยังได้ผลพิเศษแห่งสมถะด้วยก็จัดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติพิเศษ ได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูง แต่หากบรรลุจุดหมายแห่งวิปัสสนาอย่างเดียว  ไม่ได้ผลวิเศษแห่งสมถะก็ยังเลิศกว่าได้ผลวิเศษแห่งสมถะ คือได้ฌานสมาบัติและอภิญญา    แต่ยังไม่พ้นจากอวิชชาและกิเลสต่าง  

อนึ่ง  ไม่ต้องพูดถึงจุดหมายสูงสุด แม้แต่เพียงขั้นสมาธิ   ท่านก็กล่าวว่า พระอนาคามีถึงแม้จะไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้อภิญญาก็ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญสมาธิบริบูรณ์   เพราะสมาธิของพระอนาคามีผู้ไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่ได้อภิญญานั้น แม้จะไม่ใช่สมาธิที่สูงวิเศษอะไรนัก แต่ก็เป็นสมาธิที่สมบูรณ์ในตัว ยั่งยืนคงระดับ มีพื้นฐานมั่นคง เพราะไม่มีกิเลสที่จะทำให้เสื่อมถอยหรือรบกวนได้ ตรงข้ามกับสมาธิของผู้เจริญสมถะอย่างเดียวจนได้ฌานสมาบัติและอภิญญา  แต่ไม่ได้เจริญวิปัสสนาได้บรรลุมรรคผล    แม้สมาธินั้นจะเป็นสมาธิขั้นสูงมีผลพิเศษ แต่ก็ขาดหลักประกันที่จะทำให้ยั่งยืนมั่นคง  ผู้ได้สมาธิอย่างนี้ถ้ายังเป็นปุถุชนก็อาจถูกกิเลสครอบงำทำให้เสื่อมถอยได้ หรือแม้จะได้เจริญวิปัสสนาจนบรรลุมรรคผลชั้นพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี ก็ยังมีกามราคะรบกวนหรือบั่นทอนสมาธิได้ ท่านยังไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญสมาธิบริบูรณ์

รวมความว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้นผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องทราบถึงวิธีการบำเพ็ญเพื่อฝึกให้ถูกต้องตามวิธีการประกอบด้วยหลักสองประการคือหนึ่งประกอบด้วยสมถะคืออุบายให้ใจสงบสองประกอบด้วยวิปัสสนาคืออุบายให้เกิดปัญญาให้เห็นสังขารตามสภาพความเป็นจริงด้วยปัญญาอันเป็นความรู้แจ้งที่เกิดจากภายใน เพื่อละอวิชชา คือความไม่รู้ตามสภาพความเป็นจริงด้วยการปฏิบัติตามมรรค    เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน อันเป็นธรรมสูงสุดของพระพุทธศาสนาหนังสือความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐานได้กล่าวถึงอานิสงส์ของการทำวิปัสสนาดังนี้


ผลได้จากการทำวิปัสสนากรรมฐาน 

บาลีว่าอเนกสหสฺสาแปลว่า การทำวิปัสสนานั้นมีประโยชน์ มีอานิสงส์หลายร้อยหลายพัน ดังนี้เป็นต้น จะยกมาพอเป็นตัวอย่างแต่เพียงส่วนน้อยดังต่อไปนี้

. ทำให้เข้าใจธรรมทั้งในด้านปริยัติและด้านปฏิบัติได้ดี และละเอียดลออมากขึ้น เช่น เข้าใจคำว่ารูปนาม และพระไตรลักษณ์ เป็นต้น

. ทำให้มีกำลังใจเข้มแข็งยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะข้าพเจ้าเอง เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมใช้ให้สอนบลีและนักธรรม ข้าพเจ้าขอลาออก โดยสำคัญไปว่า  ท่านใช้ให้ทำงานมากเกินไป ถึงกับต้องโต้เถียงท่านว่า   ทางวัดส่งไปทำกิจพระศาสนาอยู่ต่างจังหวัดมามากแล้ว แต่เมื่อภายหลังได้ปฏิบัติกรรมฐานแล้วทำให้เห็นตรงกันข้าม คือเห็นว่า  การที่ผู้ใหญ่ท่านใช้ให้ทำเช่นนั้น โดยเมตตาธรรมของท่านต่างหาก และเห็นว่าการงานเพียงเท่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย  ยังไม่พอแก่กำลังศรัทธาที่จะช่วยทำกิจพระศาสนาเสียอีก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าทั้งสอนบาลี ทั้งสอนกรรมฐาน ทั้งเทศน์ ทั้งอบรม วันหนึ่งบางวันถึง  ๑๔  กัณฑ์ก็สู้ไหว

. ทำให้มีกำลังใจเป็นนักเสียสละขึ้นอีกมาก โดยทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย สามารถทำการสอนได้ดีทั้งปริยัติและปฏิบัติ สอบอารมณ์กรรมฐานทุก วัน เทศน์อบรมผู้ปฏิบัติแทบทุกวันถ้าเป็นวันพระ วันอาทิตย์ต้องไปโปรดพุทธบริษัทหลาย แห่งแต่ก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่าย ยิ่งทำยิ่งเพลิน ตรงกันข้ามกับสมัยก่อนเมื่อยังไม่ได้เข้าปฏิบัติกรรมฐาน เพียงไปเทศน์แห่งสองแห่งก็บ่นแล้ว

. ทำให้ดูหนังสือธรรมเพลิดเพลิน ไม่รู้จักเบื่อเข้าหลักที่ว่า ยิ่งดูยิ่งมัน  บางวันอ่านหนังสือธรรมค้นพระไตรปิฎกเพลินไม่อยากหลับไม่อยากนอน

. ทำให้อธิบายธรรมได้ดีขึ้นกว่าเดิม   เพราะอธิบายได้ทั้งแนวปริยัติและแนวปฏิบัติล้ำลึกไปตามลำดับ

. ทำให้มีสติดีขั้น  ความจำดีขึ้นจำได้แม่ยำจำได้แล้วไม่ค่อยลืมง่าย

. เป็นมหากุศล  เป็นบุญทุกขณะที่ลงมือปฏิบัติ ลงมือสอนผู้อื่น

. เป็นคนไม่ประมาท  เพราะมีใจระลึกอยู่กับรูปนามเป็นส่วนมาก

. ได้บำเพ็ญศีล  สมาธิ  ปัญญา  ตามพระพุทธโอวาท

๑๐. ได้เดินทางสายกลาง คือมรรค 

๑๑. ได้เดินทางสายเอก คือหนึ่งไม่มีสอง

๑๒. ได้บำเพ็ญบารมีได้สร้างบารมี  ได้เตรียมตัวก่อนตาย

๑๓. ทำให้ฉลาดรู้จักหลักความจริง  และรู้จักชีวิตประจำวันดีขึ้น

๑๔. ทำให้รู้จักปรมัตถธรรม ไม่หลงติดอยู่ในบัญญัติธรรม อันเป็นเพียงโลกสมมติ

๑๕. ทำให้คนรักใคร่กัน  ปรองดองกัน  สนิทสนมกัน  เข้ากันได้ดี

๑๖. ทำให้คนมีความเมตตากรุณาต่อกัน เอ็นดูกัน สงสารกัน พลอยยินดี อนุโมทนาสาธุการในเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี

๑๗. ทำคนให้เป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เลิศกว่าคนให้ประเสริฐกว่าคนให้สูงกว่าคน ทำคนให้เป็นพระ

๑๘. ทำคนไม่ให้เบียดเบียนกันไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่ให้อิจฉาริษยากัน

๑๙. ทำคนให้เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย  ไม่มีมานะทิฏฐิไม่ถือตัวไม่เย่อหยิ่งจองหอง

๒๐. ทำคนให้รู้จัดตัวเองและรู้จักปกครองตัวเอง คือ อ่านตัวออกบอกตัวได้ใช้ตัวเป็น อ่านตัวออกบอกตัวได้ใช้ตัวฟัง

๒๑. ทำคนให้เป็นผู้หนักแน่นในกตัญญูกตเวทิตาธรรม

๒๒. ทำคนให้หันหน้าเข้าหากัน  ให้บรรจบกัน เพราะต่างคนต่างลดทิฏฐิมานะลง

หากัน เข้ากันได้ เป็นกันเอง รู้ใจกันดี

๒๓. ทำคนให้มีกายวาจาใจบริสุทธิ์

๒๔. ทำคนให้ได้รับความสุข    ประการ  คือสุขของมนุษย์ สุขทิพย์  สุขในฌาน  สุขในวิปัสสนา  สุขในมรรค  สุขในผล  สุขคือพระนิพพาน  ตามสมควรแก่การปฏิบัติของตน

๒๕. ทำคนให้พ้นความเศร้าโศกปริเทวนาการดุจนางปฎาจาราเป็นตัวอย่าง

๒๖. ทำคนให้มีปัญญาดับความทุกข์ร้อนทางกายทางใจ

๒๗. ทำคนให้เดินทางถูก  รู้จักวิถีทางแห่งชีวิตอันถูกต้องได้ดีไม่หลงทางไม่มัวเมารู้จักสูตรของคนที่ว่า  เกิดเป็นคน  คนให้ทั่ว  ปากไม่ล้น  ก้นไม่รั่ว  ชั่วไม่เอา  เมาไม่มี  นี้คือคน  ดังนี้

๒๘. ทำคนให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นปริโยสาน

๒๙. ถึงปฏิบัติได้แค่ญาณ  -  คือเพียงอยู่ในญาณต่ำ   หรือญาณต้น   ถ้าพยายามรักษาไว้ได้และปฏิบัติต่อๆไปก็สามารถป้องกันภัยในอบายภูมิได้  ดังมีหลักฐานรับรองไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค   หน้า  ๒๒๙  ว่า

อิมินา ปน ญาเณน สมนฺนาคโต วิปสฺสโก พุทฺธสาสเน ลทฺธสฺสา โส ลทฺธปติฎฺโฐ 
นิยคติโก จูฬโสตาปนฺโน นาม โหติ. แปลว่าผู้วิปัสสนากรรมฐานถึงญาณที่ คือปัจจยปริคคหญาณนี้แล้ว ได้ความเบาใจในพระพุทธศาสนา ได้ที่พึ่งที่ระลึกในพระพุทธศาสนา มีคติอันเที่ยง คือตายแล้วไม่ไปอบายภูมิชื่อว่าเป็นจูฬโสดาบัน หมายความว่าเป็นผู้เข้าสู่กระแสพระนิพพานน้อย แล้ว

๓๐. ถ้าปฏิบัติถึงญาณ   คืออุทยัพพยญาณชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตอันประเสริฐ ถึงจะตายเสียในวันนั้นก็ยังดีกว่าบุคคลผู้ไม่ได้ปฏิบัติแต่มีชีวิตเป็นอยู่ได้ตั้ง  ๑๐๐  ปี  ดังมีหลักฐานรับรองไว้ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่  ๑๕  หน้า  ๓๐  ว่า

โย    วสฺสสตํ  ชีเว อปสฺสํ  อุทยพฺพยํ

เอกาหํ  ชีวิตํ  เสยฺโย ปสฺสโต  อุทยพฺพยํ

ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานถึงญาณที่    คือ อุทยัพพยญาณ เห็นความเกิดดับของรูปและนาม ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงวันเดียวก็ยังประเสริฐกว่าบุคคลผู้ไม่เห็นเกิดดับของรูปนามแต่มีชีวิตเป็นอยู่ได้ตั้ง  ๑๐๐  ปี  ดังนี้ฯ

๓๑. เป็นปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติต่อ ไป   คือถ้าเจริญวิปัสสนาในปฐมวัยแต่ยังไม่สำเร็จจะเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จในมัชฌิมวัยฯ     ถ้าไม่สำเร็จในมัชฌิมวัยจะเป็นปัจจัยให้สำเร็จในปัจฉิมวัยฯ     ถ้าไม่สำเร็จในปัจฉิมวัยจะเป็นปัจจัยให้สำเร็จในเวลาใกล้จะตายฯ  ถ้าไม่สำเร็จในเวลาใกล้จะตาย  จะเป็นปัจจัยให้ไปเกิดบนสวรรค์แล้วปฏิบัติต่อบนสวรรค์โน้นฯ   
ถ้าไม่สำเร็จบนสวรรค์กลับมาเกิดบนมนุษย์  จะได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้า  จะได้สำเร็จเร็วที่สุดเหมือนพระอัญญาโกณฑัญญะ  พาหิยทารุจริยะ พระสารีบุตร   พระมหาโมคคัลลานะเป็นต้นฯ   ถ้าไม่ได้พบศาสนาของพระพุทธเจ้าคือเกิดในกัปป์ที่ว่างเปล่า จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  สามารถตรัสรู้มรรคผลนิพพานด้วยตนเองได้

๓๒. ทำกิเลส  คือโลภะ โทสะ โมหะ  มานะ  ทิฎฐิ  เป็นต้น ให้เบาบางลง

๓๓. ทำให้เป็นคนมีใจสุขุมเยือกเย็น

๓๔. ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ ดุจรถยนต์ที่มีเครื่องห้ามล้อดีฉะนั้น

๓๕. ทำให้สมาธิดี  ทำให้ความจำดีขึ้น  ทำให้เรียนหนังสือเก่ง เป็นประโยชน์แก่นักเรียน นักศึกษามาก

๓๖. ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่าง หายไป เช่นโรคประสาท โรคอัมพาต เป็นต้น

๓๗. สามารถเป็นปัจจัยนำไปเกิดในสวรรค์ได้  เช่น  พระภิกษุรูปหนึ่งเจริญวิปัสสนากรรมฐานถึงญาณที่    แล้วมรณภาพลงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมากราบทูลพระพุทธเจ้าขอฟังธรรมและปฏิบัติธรรมต่อ ในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน

๓๘. ทำให้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น

๓๙. สะดวกแก่การปกครองคือทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรมไปนั้นเป็นผู้ปกครองง่ายไม่ก่อความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่หมู่คณะและสังคมทั่ว ไป

๔๐. กันโง่  เพราะมีสติ  สติเป็นคู่ปรับกับโมหะ โมหะนี่แหละเป็นตัวโง่อย่างสำคัญที่สุด

๔๑. มีสติตั้งมั่นดีทั้งในยามปกติและในเวลาใกล้จะตายคือไม่หลงตาย

๔๒. ทำให้คนมีศีลธรรม วัฒนธรรมอันดีงาม

๔๓. เด็กนักเรียนที่มีความจำไม่ดี ก็จะดีขึ้น คนที่เป็นพาลเกเร เช่น อันธพาล นักโทษ ถ้าได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะกลับตัวเป็นคนละคน

๔๔. ถ้านักโทษแต่ละคนได้เข้าปฏิบัติแล้ว เวลาปล่อยออกไปจะไม่กลับเข้าสู่คุกสู่ตารางอีก

๔๕. ถ้าฝึกสมาธิได้ดีแล้ว สามารถจะนั่งได้เป็นเวลานาน หลายชั่วโมง  เช่น นั่งได้  ๒๔  ชั่วโมง  นั่งได้ ๒๘ ชั่วโมง  นั่งได้  ๓๒  ชั่วโมง  นั่งได้  ๕๐  ชั่วโมง   นั่งได้  ๗๒  ชั่วโมง  เป็นต้น

ผลของการปฏิบัติธรรมนั้น  ไม่ว่าบุคคลคนนั้นจะเป็นเชื้อชาติใดภาษาใดก็ตามถ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนย่อมได้รับผลของการปฏิบัติ  ดังที่ผู้เขียนเข้าใจนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ในวรรณะกษัตริย์   ทรงมีบริวารแวดล้อม  ทรงสละราชสมบัติความสุขส่วนพระองค์เข้าป่าเพื่อบำเพ็ญพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  จนค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์คืออริยมรรคเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนพระองค์ไม่ทรงจำแนกว่าคนนั้นวรรณะนั้นคนนี้วรรณะนี้แต่พระองค์ทรงตรัสพระธรรมที่ทรงรู้ตามวิสัยของคน   นั้น เห็นได้ว่าพระองค์ท่านเน้นธรรมของพระองค์ที่การปฏิบัติตามธรรมที่พระองค์ได้รู้มาว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาล  ทำเมื่อใดก็เห็นผลได้เมื่อนั้นดังคำที่ว่าพระอรหันต์จะไม่เว้นว่างถ้าบริษัทสี่ยังปฏิบัติธรรมของพระองค์

ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานว่ามีประโยชน์ในเบื้องต้น ดังนี้ คือ 

ทำลายวิปัลลาสธรรม ได้แก่ความเห็นผิด ที่เห็นรูปนามว่างาม เที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเป็นตน และในที่สุดทำให้ถึงสันติสุข คือพระนิพพาน


ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนา

ประโยชน์ของการปฏิบัติวิปัสสนานั้นมีมาก แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปก็คือ 

. สามารถกำจัดกิเลสต่าง   อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ความเดือดร้อนต่าง ลงได้

. มีความทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้น

. คลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงได้ ไม่วุ่นวายเดือดร้อนไปตามกระแสของโลก

. มีจิตใจมั่นคง  รู้เท่าทันความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย  ไม่ฟูขึ้นหรือยุบลงด้วยอำนาจโลกธรรม

. มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง แต่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นมากขึ้น

. จิตใจมีคุณธรรมหรือมีคุณภาพสูงขึ้นตามขั้นของการปฏิบัติ

. สามารถเข้านิโรธสมาบัติ อันเป็นความสุขขั้นสูงในปัจจุบันภพได้

. สามารถบรรลุความเป็นอริยบุคคล อันเป็นบุญเขตของโลก

. ย่อมได้ดื่มรสแห่งอริยผล  อันเกิดจากการพ้นจากอำนาจของกิเลสได้

๑๐. สามารถบรรลุพระนิพพานได้.

ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น   ท่านครูอาจารย์ได้กล่าวไว้มากมายหลายที่ข้าพเจ้าได้นำมากล่าวไว้พอเป็นแนวทาง





กายานุปัสสนา  

กายานุปัสสนา   ท่านให้กำหนดถือเอาร่างกายนี้อันเป็นของเน่าเปื่อย เป็นของเน่าเหม็น หาสาระไม่ได้ไม่มีแก่นสารไม่มีความแน่นอน ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านชอบร่างกายอย่างนี้หรือไม่ ท่านอาจารย์นักปฏิบัติ ได้นำพาให้เราได้เข้าไปท่องเที่ยวในร่างกายและสังขารของชายหญิง ว่าเป็นของไม่งาม สัตว์ทั้งหลายมีความดูดดื่มกับร่างกายนี้ เมื่อยามที่มีชีวิตอยู่เป็นของน่ารัก น่าใคร่
น่ากอด น่าถนอม   แต่ดูก่อนท่านมานพ ท่านเดินเข้าไปในป่าช้า ท่านได้สิ่งใดกลับมาบ้างนอกจากคำว่ากลัว  กลัวอะไรละท่าน?  กลัวผีครับเท่านั้นเองหรือที่เธอถือกลับบ้าน นักปฏิบัติธรรมท่านทั้งหลายไปป่าช้าแล้วถือความกลัวกลับบ้านนั้น ท่านอาจารย์นักปฏิบัติที่มีปฏิปทาในการหาญกล้า เข้าไปสู้กับผีไปสู้กับอมนุษย์ ไปสู้กับจิต (สัญญาเก่า ) ของเรานั้นเอง เมื่อท่านผ่านความตายถึงขั้นไม่ตายแล้วท่านจะได้ทราบแน่ชัดว่า ความตายเป็นของไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวก็คือชีวิตก่อนตายและหลังตายที่ไร้ประโยชน์นั่นเอง  ข้าพเจ้าจะขยายความในบทต่อไป

.   กายานุปัสสนา   

กายานุปัสสนา  คือปัญญาตามเห็นกายนี้ โดยการตั้งสติกำหนดกายเป็นอารมณ์ ก็กายนั้น ท่านแปลว่า ที่ประชุมแห่งส่วนต่าง ซึ่งรวมกันเข้าเป็นรูป เรียกรูปกาย ในพระสูตรนี้จำแนกกายออกเป็น  ๑๔  ข้อ คือ

. อานาปานบรรพ  กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกยาวสั้นหยาบละเอียด เป็นต้น

. อิริยาปถบรรพ กำหนดรู้อิริยาบถ เดินยืนนั่งนอนว่าสำเร็จเป็นไปได้เพราะลมและจิตที่คิด

. สัมปชัญญบรรพ กำหนดรู้รอบคอบในวิการของกาย มีก้าวไปข้างหน้าและถอยกลับมาข้างหลังเป็นต้น ทุกขณะวิการของกายมิได้ลืมหลง

. ปฏิกูลบรรพ  กำหนดพิจารณากายโดยเป็นของปฏิกูลไม่งาม ไม่สะอาด เต็มอยู่ด้วยอสุภ  เป็นของไม่งาม  น่าเกลียด ๓๑ ส่วน มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น

. ธาตุบรรพ กำหนดพิจารณากายโดยเป็นธาตุ    คือ สิ่งที่แข็งที่กระด้าง กำหนดว่าเป็นธาตุดิน    สิ่งที่อ่อนที่เหลวซึมซับไปในดิน ทำดินให้เหนียวติดกันเป็นก้อนอยู่ได้ กำหนดว่าเป็นธาตุน้ำ    สิ่งที่ทำดินและน้ำนั้นให้อุ่นให้ร้อนให้แห้งเกรียมไป กำหนดว่าเป็นธาตุไฟ    สิ่งที่อุปถัมภ์อุดหนุนพยุงดินและน้ำไว้ ทำให้ไหวติงไปมาได้ และรักษาไฟไว้มิให้ดับไปได้ กำหนดว่าเป็นธาตุลม 

สติตามเห็นความไม่งามแห่งสังขารว่า  ไม่เที่ยง  ด้วยอาการทั้งปวง การพิจารณาร่างกายของเรานี้เห็นว่าไม่งาม ไม่มีแก่นสาร เมื่อมนุษย์ตายไปจากโลกนี้แล้วย่อมหาประโยชน์มิได้ดังนั้นการพิจารณาสังขารธรรมเป็นของปฏิกูล โดยธรรมชาติทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ตายไปแล้วด้วยดังนี้

. นวสิวัฏฐิกาบรรพ  กำหนดพิจารณาอสุภ คือ ซากศพที่เขาทิ้งไว้ในที่ต่าง มีป่าช้าเป็นต้น อันตายแล้วัน    หรือ    วัน    วัน ขึ้นพอง มีสีเขียว และมีบุพโพไหลออกอยู่    ซากศพที่เขาทิ้งไว้ อันสัตว์ทั้งหลายมีสุนัขเป็นต้นกัดเคี้ยวกินแล้ว    ซากศพที่เขาทิ้งไว้โทรมลงเป็นร่างกระดูก  มีเนื้อเลือดและเส้นเอ็นรึงรัดหมดสิ้นไปแล้ว เหลือแต่กระดูก    ซากศพที่เขาทิ้งไว้มีกระดูกเกลื่อนหลุดจากที่ผูกที่ต่อเรี่ยรายกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่าง     ซากศพที่เขาทิ้งไว้ เป็นกระดูกมีพรรณขาวดังสังข์    ซากศพที่เขาทิ้งไว้ เป็นกระดูกเรี่ยรายเป็นกอง ทนแดดทนฝนอยู่  มีเห็ดราเกิดขึ้นทิ้งอยู่ล่วง    ปีไปแล้ว    ซากศพที่เขาทิ้งไว้ เป็นกระดูกผุย่อยป่นละเอียดเป็นจุณ 

อสุภ    ตามที่กล่าวมานี้  เรียกว่า  นวสิวฎฐิกาบรรพ  รวมทั้งหมดเป็น  ๑๔  ข้อด้วยกัน  เรียกว่า กาย  เพราะเป็นเอกเทศของกายอย่างหนึ่ง


ปัญญาตามเห็นซึ่งกายในกาย

ปัญญาตามเห็นซึ่งกายในกาย  ที่แยกออกจากัน ๑๔ ข้อนี้ แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง โดยสักว่าเป็นลมหายใจเข้าออก  เป็นอิริยาบถเป็นวิการของกาย  เป็นปฏิกูล  เป็นธาตุ  เป็นอสุภ  ไม่พิจารณาเห็นรวมกันเป็นกลุ่มก้อนโดยความเป็นตัวตน  จนกำจัดอสุภสัญญาได้ เรียกว่า กาเย กายานุปัสสี  มีปัญญาตามเห็นกายในกาย

พรรณาความ   การแยกกาย นี้ออกเป็นส่วน เช่นนี้ ก็เพื่อกำจัดความสำคัญผิดว่างาม เป็นสุข เที่ยง เป็นตัวตน ความจริง กายที่ปรากฏเป็นอยู่ได้นี้ก็เพราะลมหายใจ เมื่อลมหายใจไม่มี  กายส่วนอื่น ก็เป็นอยู่ไม่ได้  ต้องกลายเป็นอสุภเป็นเที่ยงแท้  แม้การเคลื่อนไหวอิริยาบถก็เกิดจากจิตกับลม คือเมื่อคิดว่า จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะคู้กาย จะนอน จะยืดตัว จะเหยียดตัว จะก้าวไปข้างหน้า ข้างหลัง หรือข้าง จะคู้แขน เหยียดแขน เหลียวซ้าย แลขวา จะนุ่งผ้า กิน ดื่ม เคี้ยว จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ  จะพูดหรือนิ่ง เช่นนี้  อันเป็นวิการของกายซึ่งเกิดกับจิต ประกอบด้วยลมที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในอิริยาบถนั้น   การปรากฏแห่งรูปร่างกาย ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่าง รวมกันถึง  ๓๒ ส่วน  มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นนั้น สรุปลงในธาตุ   คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้น ตลอดทั้งมีอาหาร มีวิญญาณ และกรรมของบุคคลนั้น เข้ามาปรุงแต่งกายกับจิต  จึงทำให้บุคคลนั้น ดำรงอยู่ได้  

ในส่วนของการพิจารณากายนั้น ท่านแบ่งออกเป็นกายส่วนภายในและกายส่วนภายนอก  โดยพิจารณากายตั้งแต่เบื้องบนคือตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป  เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา ซึ่งมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่าง   มีทวารทั้ง เป็นที่ไหลออกของสิ่งปฏิกูลในร่างกาย  การพิจารณาเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดของกายภายในว่า ถ้าหากบุคคลลอกหนังที่ห่อหุ้มร่างกายออกแล้วจะพบว่า  ไม่น่าดูชมนัก  และถ้าพิจารณาภายนอกกาย ที่มีหนังห่อหุ้มอยู่ก็จะพบกับความจริงว่า มีกลิ่นเหม็นและมีของไม่สะอาดอยู่ทั่วผิวหนัง  เช่น เหงื่อ และขี้ไคลเป็นต้น  จะต้องทำความสะอาดชะล้างด้วยน้ำอยู่บ่อย การพิจารณากายเช่นนี้ ทำให้ผู้พิจารณาพบความจริงแห่งกาย และคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา เป็นวิธีการที่จะทำให้บุคคล น้อมนำกายจิตไปศึกษา สมาธิ และปัญญาญาณ ในขั้นสูงต่อไป


สรุป

วิปัสสนากรรมฐาน  แปลง่าย ว่าการเห็นแจ้งหรือวิธีทำให้เกิดการเห็นแจ้ง  หมายความว่าข้อปฏิบัติต่าง ในการฝึกฝนอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดสิ่งทั้งหลายตรงต่อสภาวะของมัน  คือให้เข้าใจตามความเป็นจริงหรือตามที่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นของมันเองรู้แจ้งชัดเข้าใจจริงจนถอนความหลงผิด รู้ผิดและยึดติดในสิ่งทั้งหลายได้ ถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ทั้งท่าทีแห่งการมองการรับรู้การวางจิตใจและความรู้สึกทั้งหลาย ความรู้ความเข้าใจถูกต้องที่เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติวิปัสสนานั้นก็เพื่อบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่ดับความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งปวงและเป็นความสุขอย่างสูงสุด ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปการฝึกอบรมจิตให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงตามความจริง  เรียกว่า  วิปัสสนาภาวนา  หรือเรียกว่า  ปัญญาภาวนา  และวิปัสสนาภาวนานี้มีอยู่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาอื่นใดในโลก  ผลของการปฏิบัติธรรมนั้นไม่ว่าบุคคลคนนั้นจะเป็นเชื้อชาติใดภาษาใดก็ตามถ้าปฏิบัติตามคำสั่งสอนย่อมได้รับผลของการปฏิบัติ  การพิจารณาร่างกายให้เป็นของไม่น่าจับต้องในบทนี้เน้นพิจารณา  อสุภ   ตามที่กล่าวมานี้  เรียกว่า  นวสิวฎฐิกาบรรพ  รวมทั้งหมดเป็น  ๑๔  ข้อด้วยกัน  เรียกว่า กาย   เพราะเป็นเอกเทศของกายอย่างหนึ่ง   การกำหนดพิจารณาธรรมดาคือความเกิดดับในกาย  ท่านว่าคือกำหนดพิจารณาปัจจัยที่ก่อให้เกิดกายและความสิ้นไปแห่งปัจจัยนั้น

เมื่อปัญญาตามเห็นกายเป็นต้นโดยเป็นอารมณ์ไม่เที่ยงอยู่ ย่อมละนิจจสัญญา ความสำคัญว่าเที่ยงได้  เมื่อตามเห็นโดยเป็นทุกข์อยู่ ย่อมละสุขสัญญา ความสำคัญว่าสุขได้  เมื่อตามเห็นโดยเป็นอนัตตาอยู่  ย่อมละอัตตสัญญา ความสำคัญว่าเป็นตนได้  เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละนันทิ ความเพลิดเพลินได้  เมื่อหายติดใจย่อมละราคะ ความติดใจได้ เมื่อทำให้ดับ ย่อมละสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ได้  เมื่อสลัดคืน ย่อมละอุปาทาน ความยึดไว้ได้ นี้คือปัญญาตามเห็นกาย  เวทนา  จิต  ธรรม  ด้วยอาการ    การพิจารณากายในกายให้เห็นเป็นของปฏิกูลจึงมีความสำคัญ  เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งว่า   กายนี้สักว่ากายหามีแก่นสารไม่












แบบฝึกหัดประจำบทที่ 


. จงอธิบายความหมายของคำว่า  วิปัสสนากรรมฐาน  มาให้เข้าใจ ?

. จงอธิบายความหมายของคำว่า  อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ   มีความหมายอย่างไร ? อธิบาย

. จงแสดงจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา  ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ?

. จงอธิบายพระอริยบุคคลตามหลักธรรมที่ท่านศึกษามานั้นอย่างไร ? 

. จงให้ความหมายของคำว่า  อภิญญาและสมาบัติ มาพอเข้าใจ ?

. จงอธิบายถึงผลที่ได้จากการปฏิบัติพระกรรมฐาน  ว่าดีอย่างไร ?

. จงให้ความหมายของคำว่า   กายานุปัสสนา   ว่าหมายถึงสิ่งใด ?

จงจำแนกกายออกเป็น  ๑๔  ข้อมาให้ดูว่ามีอะไรบ้าง ?

. อธิบายคำว่า  นวสีวัฏฐิกาบรรพ   มาพอเข้าใจ ? 

  ๑๐. จงอธิบายวิธีการเจริญวิปัสสนาในอิริยาบถ    มาพอเข้าใจ ?



หนังสืออ้างอิงและอ่านประกอบ


  1. พระราชวรมุนี (.. ปยุตฺโต),  พุทธธรรม,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท

ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๓๘ ).

  1. พระเทพวิสุทธิกวี, วิปัสสนาภาวนา,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,  

๒๕๓๘).

. ที. .  ๑๐/๑๓๘/๑๗๕๑๗๖.

. อภิ. วิ.  ๓๕/๖๑๑/๓๓๖.

. พระเทพสิทธิมุนี  (ญาณสิทธิเถร),  ความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน,  ( กรุงเทพฯ : 

โรงพิมพ์ข่าวทหาร,  ๒๕๑๗).

. แนบ   มหานีรานนท์, การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  เล่ม -,  (กรุงเทพฯ :  ๒๕๓๘).

. ทางไม่ตาย  (วัดราชาธิวาส), (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๒๒ ).






















ความคิดเห็น