เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 7 เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.




เอกสารประกอบแผนการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 7

 เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ. 

อาหาเรปฏิกูลสัญญา  

 

          อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือความรู้ในอาหารโดยเป็นสิ่งที่น่าเกลียดขยะแขยง ท่านทรงแนะให้ภิกษุให้ศาสนานี้ พิจารณาอาหารก่อนการฉัน(ทานข้าว) เมื่อภิกษุก่อนการฉันข้าวทุกครั้งท่านจะให้พระภิกษุพิจารณาบทสวด ปฏิสังขาโยฯ เป็นบทสวดพิจารณาอาหารเป็นไปเพื่อประทังความหิว ไม่ฉันอย่างมัวเมา  เป็นไปเพื่อการละกิเลส เป็นต้น

              การพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา  ข้อนี้เป็นไปเพื่อความละกิเลส   การพิจารณาอาหารว่าเป็นของไม่น่าสะอาด การที่ท่านให้พิจารณาอย่างนั้น   ก็คงให้เราได้ทราบว่า อาหารที่เราได้รับประทานทุกวัน ๆ นี้มีความน่าเกลียด และของเน่าเหม็นเป็นปัจจัย เมื่อของหรืออาหารนี้ยังไม่ได้
ปรุงรส  ของนั้นก็ยังอยู่ได้ อีกหลายวันโดยไม่เน่าเสีย

              เมื่อไรก็ตามที่เราประกอบอาหารนั้นขึ้น  ทำให้อาหารมีความคงทนน้อยลง เป็นเหตุ
ให้อาหารนั้นบูดและเน่าเสียอย่างรวดเร็ว  นี้ประการหนึ่ง เมื่ออาหารที่ประกอบแล้ว เข้าไปอยู่ในกระเพราะก็ยิ่งเน่าเหม็น สุดท้ายต้องถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ นี้ประการหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม อาหารทุกชนิดท่านแนะวิธีการพิจารณาให้เห็นว่าไม่งามทั้งสิ้น  อาหาเรปฏิกูลสัญญา  ในกรรมฐานนี้ในอาหาร  ๔  นี้ คือ

 

กวฬิงการาหาร    

              กวฬิงการาหาร   ที่แยกประเภทเป็นของกิน    ของดื่ม  ของเคี้ยว  ของลิ้มเท่านั้น   หมายถึง  อาหารในความข้อนี้การกำหนดเกิดจากการถือเอาอาหารที่ปฏิกูลในอาหารชื่อ อาหาเรปฏิกูลสัญญา

              พระโยคาวจรผู้ปรารถนาจะเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา [๑]   พึงเรียนกรรมฐานให้ได้แล้วจะได้มิให้ผิดจากที่เรียนมาแม้แต่บทเดียว  ไปในที่ลับคน  อยู่สงบคนเดียวแล้วพิจารณาดูความปฏิกูลในกวฬิงการาหาร โดยแยกเป็น ของกิน  ของดื่ม  ของเคี้ยว  ของลิ้ม  โดยอาการ  ๑๐   คือ

              (๑)     โดยการเดิน

              (๒)    โดยการแสวงหา

              (๓)     โดยการบริโภค

              (๔)     โดยอาสวะ  คือ   อาโปธาตุ  (น้ำย่อย)   ในลำไส้ที่ออกมา  ประสมกับ   

                        อาหารที่กลืนลงไป

              (๕)    โดยที่พัก  คือ  กระเพาะอาหาร

              (๖)     โดยยังไม่ย่อย

              (๗)    โดยย่อยแล้ว

              (๘)     โดยผล

              (๙)      โดยการไหลออก

              (๑๐)   โดยความเปรอะเปื้อน

 

อธิบาย  กวฬิงการาหาร

              ๑.   ปฏิกูลโดยการเดิน   พระโยคาวจรพึงพิจารณาเห็นความปฏิกูลโดยการเดินไปโดยนัยดังนี้ว่า  อันบรรพชิต   ในพระศาสนา  ชื่อว่ามีอานุภาพมากอย่างนี้    ทำการสาธยายพระพุทธวจนะ   หรือทำสมณธรรม   ตลอดทั้งคืน   เลิกในตอนเช้าตรู่   แล้วไปทำกิจวัตรที่ลานพระเจดีย์และลานโพธิ์ จัดหาน้ำฉัน น้ำใช้  กวาดบริเวณสรงน้ำแล้ว ขึ้นที่นั่งทำกรรมฐานสัก  ๒๐ ๓๐  คาบ  แล้วจึงเตรียมบาตรและจีวรจำต้องละอารามไป   วันที่ปราศจากชนเบียดเสียดสะดวกแก่การอยู่อย่างสงบ  
มีร่มเงาและน้ำสะอาด เย็นเป็นที่น่ารื่นรมย์   ต้องหยุดพักความยินดีในวิเวกซึ่งเป็น อริยคุณ   มีหน้ามุ่งสู่หมู่บ้านเพื่อต้องการอาหาร  ดังสุนัขจิ้งจอกมุ่งหน้าสู่ป่าช้า ไปเพื่อหาซากศพ

              ตั้งแต่ลงจากเตียงหรือตั่ง  ก็ต้องย่ำผ้าปูที่เกลื่อนด้วยสิ่งไม่สะอาด เช่น ละอองติดเท้าหรือมูลจิ้งจกเป็นต้น ต่อนั้นจำต้องเจอหน้ามุขที่ ปฏิกูล  ยิ่งกว่าภายในห้อง  เนื่องจากสิ่ง ปฏิกูล ทำให้เสียหาย  เช่น  มูลหนู และมูลค้างคาว  เป็นต้น  จำต้องเจอพื้นล่างกุฎี  ปฏิกูลยิ่งกวาชั้นบน  เพราะเปรอะมูลนกเค้าและมูลนกพิราบ  เป็นต้น  จำต้องเจอบริเวณปฏิกูลยิ่งกว่าพื้นล่างของกุฎี  สกปรกด้วยหญ้าและใบไม้เก่า ๆ ที่ลมพัดมาด้วยปัสสาวะ  อุจจาระ  น้ำลาย   น้ำมูก  ที่พวกสามเณรเป็นไข้    และด้วยน้ำและโคลนในน้ำฝน   เป็นต้น

              อนึ่ง เมื่อไหว้ต้นโพธิ์และพระเจดีย์แล้วหยุดคิดว่า  ตนจะต้องไม่เหลียวดูพระเจดีย์ที่สง่างาม  เช่น   กองแก้วมุกดาและต้นโพธิ์ที่สวยงามจับใจเช่นกับกำหางนกยูง   และที่พักที่งามสง่าและมีพร้อมทุกอย่าง  เช่น เทพพิมานตนจำต้องหันหลังให้สถานที่น่ารื่นรมย์เป็นเช่นนี้ไป  เพราะอาหารเป็นเหตุ

              ท่านให้พระภิกษุสาวกได้พิจารณาอย่างนี้ว่าทุกขณะที่ทำให้จิตคลายกำหนัดละตัณหา คือกามราคะ  ๑  ภวตัณหา  ๑  วิภวตัณหา  ๑  ตัณหาทั้ง  ๓  ประการนี้คือต้นเหตุของความทุกข์ เมื่อใจพิจารณา การเดินไปทุก ๆ ที่ทุกแห่งก็คือการพิจาณาสำรวมระวังให้เรารักษาจิตไม่ให้ฟุ้งไปตามอารมณ์ข้างนอกได้

              ดังนั้น   เมื่อก้าวออกเดินไปสู่หมู่บ้านจำต้องเจอตอและหนาม  หรือ  น้ำเซาะทางเป็นร่องลึกและลุ่ม ๆ ดอน ๆ  จากนั้นผู้นุ่งห่มผ้าด้วยความรู้สึกเหมือนปิดแผล ฝีดาด  ประคดด้วยความรู้สึกเหมือนพันผ้าพันแผล  ห่มจีวรด้วยความรู้สึกเหมือนคลุมโครงกระดูก  อุ้มบาตรไปด้วยความรู้สึกเหมือนนำกระเบื้องใส่ยาไป

              เมื่อใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้านก็จะเจอซากต่าง ๆ   เช่น  ซากช้าง  ซากม้า  ซากโค  ซากกระบือ  ซากคน  ซากงู   ซากสุนัข   มิใช่แต่เท่านั้น แม้กลิ่น ที่มากระทบจมูก  ก็เป็นสิ่งที่จำต้องทนด้วยจากนั้นจะต้องหยุดยืนที่ทางเข้าหมู่บ้าน  มองดูทิศทางเดินในหมู่บ้านเสียก่อน เพื่อหลีกอันตราย   เช่น   ช้างดุ  ม้าดุ  เป็นต้น

              สิ่งปฏิกูลมีผ้าปูที่เปื้อนละออง  เป็นต้น   รวมทั้งซากหลายอย่างดังกล่าว    เป็นสิ่งที่จำต้องเหยียบย่ำ  จำต้องเจอและจำต้องได้กลิ่น  ก็เพราะอาหารเป็นเหตุ   ความปฏิกูลในการเดินไปเช่นนี้    พระโยคาวจรพึงปลงจิตลงไป   อาหารที่เราจะพึงได้

              จากความข้างต้น    การที่ท่านสอนให้มองเห็นอาการเดินไป   และเดินกลับของ
พระโยคาวจรนั้น  ท่านให้ความกระจ่างชัดที่ว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนมีเหตุมีปัจจัยทั้งสิ้นการที่ ท่านเดินไป พิจารณาไปทำให้จิตของพระโยคาวจรนั้น มีปกติคือความไม่ประมาทในที่ แห่งตนเดินไปนั้น ความหมายนี้ ท่านชี้ให้เราได้พิจารณาถึงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารนี้  ทุกสรรพสิ่งมีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น มีการเปลี่ยนแปลงและในที่สุดทุกชีวิตต้องกลับเข้าไปสู่สภาวะหลังความตาย การได้พิจารณาในขณะที่เดินไปนั้น ท่านได้จัดไว้ในอานิสงส์ของการเดินจงกรม ในวิชากรรมฐานนั้นท่านก็ให้พิจารณาสิ่งนี้เหมือนอย่างเดียวกัน ส่วนใหญ่ท่านให้บริกรรมนิมิต ว่า
พุทโธ ๆ  ดังนี้เรื่อยไป  แต่ให้จิตเกาะติดกับคำภาวนา ว่า พุทโธ ๆ  เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นพิจารณาอย่างวิปัสสนานั่นเอง  อย่างไรก็ดีการเดินอย่างนี้ ถือว่ามี อานิสงส์อย่างเดียวกันกับอานิสงส์การเดินจงกรม[๒] 

              อานิสงส์การเดินจงกรม  สงเคราะห์ในปฏิกูลการเดิน   มีอานิสงส์  ๕  อย่างคือ

              ๑.   ปธานกฺขโม           ทนต่อการทำความเพียร

              ๒.  อทฺธานกฺขโม         ทนต่อการเดินทางไกล

              ๓.  อปฺปาพาโธ           มีอาพาธน้อย

              ๔.  อสิตํ  ปีติ ขายิกํ  สายิตํ  สมฺมาปริณามํ  คจฺฉติ  อาหารที่ดื่มเคี้ยวบริโภคเข้าไปย่อยง่าย

              ๕.  จงฺกมาธิคโต  สมาธิ  จิรฏฺฐิติโก         สมาธิซึ่งได้ในขณะเดินจงกรม ดำรงอยู่ได้นาน

จากอานิสงส์  ๕  ประการนี้   เมื่อปฏิบัติมากสมาธิย่อมตั้งอยู่ได้นานดังนี้

              ๒.  ปฏิกูลโดยการแสวงหา   เมื่อบรรพชิตผู้อดทนต่อความปฏิกูลในการเดินไปเช่นนี้    เข้าสู่หมู่บ้าน    ต้องคลุมตัวด้วยสังฆาฏิ   ต้องเที่ยวไปตามลำดับ    หลังคาเรือนเหมือนคนกำพร้าถือกระเบื้องเที่ยวไป   คราวฤดูฝน    เท้าจมลงในโคลนจนถึงปลีแข้ง   ต้องถือบาตรด้วยมือข้างหนึ่ง    ฤดูร้อนก็ต้องเที่ยวไปภิกขา   ทั้งที่ร่างกายมอมแมมด้วยฝุ่นและละอองหญ้าที่ฟุ้งขึ้นตามลมที่ประตูเรือนนั้น

              บางทีก็ต้องย่ำหลุมโสโครกและแอ่งน้ำครำ คละไปด้วยสิ่งโสโครก  เช่น    น้ำล้างปลา   น้ำล้างเนื้อ น้ำซาวข้าว  น้ำลาย  น้ำมูกและมูลสุนัข มูลสุกร เป็นต้น คลาคล่ำไปด้วยหมู่หนอน   และแมลงวันหัวเขียวในหมู่บ้านขึ้นมาเกาะสังฆาฏิ   บาตร   หรือศีรษะเมื่อไปถึงเรือนแล้ว  เจ้าของเรือนบางคนก็ให้ บางคนก็ไม่ให้ หรือถ้าให้ก็ให้ข้าวที่หุงไว้แต่เมื่อวาน ของเคี้ยวเก่า ๆ หรือแกงถั่วบูด ๆ    เป็นต้น  ที่ไม่ให้ก็บอกให้ไปโปรดสัตว์ข้างหน้า  บางคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นนิ่งเฉยเสียบางคนก็เบือนหน้าเสียบางคนก็ว่าเอาหยาบ ๆ ไปเว้ยคนหัวโล้น  กระนั้นก็จำต้องไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน อย่างคนกำพร้าให้ได้อะไรก่อนจึงออกไป สิ่งปฏิกูลดังกล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเหยียบย่ำ
จำต้องเจอ จำต้องทน  ตั้งแต่เข้าหมู่บ้านจนกระทั่งออกไป  เพราะอาหารเป็นเหตุความปฏิกูลโดยการแสวงหาเช่นนี้พระโยคาวจรพึงปลงใจไป 
อาหารนี่เป็นสิ่งปฏิกูลจริง ๆ

              จากความหมาย ดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อครั้งไปบิณฑบาต เวลาน้ำท่วมเท้าที่ย่ำเหยียบไปบนหนองน้ำและที่ขยะแขยงที่สุดเห็นจะเป็นอุจจาระ เห็นแล้วน่าสลดใจยิ่งนัก เมื่อเราได้เห็นสิ่งดังกล่าวได้กรรมฐานในความปฏิกูลแล้ว ต้องรีบนำมาพิจารณา อย่าปล่อยนิ่งเฉย ตราบใดที่เราท่านเหล่านักปฏิบัติ ด้วยแล้วจะเล็งแลเห็นความสำคัญข้อนี้ทันที เพราะว่าถ้าเราไม่รีบมาปฏิบัติหลังจากได้สัญญาในสิ่งอันเป็นปฏิกูลนี้ สัญญานี้ก็ถือเป็นโมฆะ คือไร้ผล ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรู้ทั่วพร้อมทุกอิริยาบถต้องเตรียมรับ เตรียมฝึก เตรียมใจที่จะพัฒนาเพิ่มพูนองค์ธรรมแห่งการปฏิบัติสงสัยรีบหารีบซัก รีบนำสัญญาเหล่านั้นมาพิจารณาให้เกิดธรรมสังเวช นั่นเอง

              ๓.  ปฏิกูลโดยการบริโภค    เมื่อภิกษุได้อาหารมาแล้วนั่งตามสบายในที่ชอบใจ  นอกหมู่บ้าน พึงตั้งใจไว้ว่า  หากยังมิได้หย่อนมือลงในอาหารที่อยู่ในบาตร  เมื่อได้เห็นภิกษุผู้เป็นครุฐานิยะ หรือผู้น่าเลื่อมใสแล้ว  ก็อาจนิมนต์ให้ฉันอาหารนั้นได้  แต่หากหย่อนมือลงในอาหารเพื่อจะฉัน    แล้วนิมนต์ให้รับอาหารนั้นก็กระดากอาย  ครั้นหย่อนมือลงแล้วขยำอยู่  เหงื่อมือออกตามนิ้วทั้ง  ๕  ทำให้ข้าวสุกที่กระด้างเพราะความแห้งอ่อนไปได้  ครั้นอาหารเสียความงามไปแล้วเพราะการขยำ    ควรทำอาหารให้เป็นคำใส่ในปาก   ฟันล่างทำหน้าที่เป็นครก   ฟันบนเป็นสาก  ล้วนเป็นมือโขลกอาหารด้วยสากคือฟันพลิกไปมาอยู่ด้วยลิ้น   เหมือนข้าวสุนัขอยู่ในปาก   น้ำลายใสปลายลิ้นเปื้อนแล้ว  สี  กลิ่นและการปรุงแต่งอย่างดีหายไปทันที   กลายเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด  เช่นกับสำรอกของสุนัข  ถึงกระนั้นก็ยังกลืนลง  เพราะมองไม่เห็น

              คำกล่าวนี้   เรามักจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ สมัยที่ผู้เขียนได้ออกไปธุดงค์ใหม่ ๆ  การฝึกฉันอาหารรวม แบบฉบับวัดป่า คือเมื่อพระภิกษุสามเณรได้ออกไป บิณฑบาต เมื่อกลับมาถึงก็จะ
มีอุบาสกอุบาสิกาที่เข้ามาในวัด มาจัดเตรียมอาหารที่บิณฑบาตได้มาจัดวางเตรียมไว้ในภาชนะ
 ตามธรรมเนียมพระวัดป่า ส่วนใหญ่จะฉันมื้อเดียว ท่านแต่ละรูปจะถือบาตรที่ไปบิณฑบาตมาแบ่งข้าวไว้พอประมาณ แล้วเดินวนไปตักอาหาร ที่ได้มีการจัดเตรียมไว้นั้น อยากฉันอันไหนก็นำช้อนที่มีประจำติดตัวในแต่ละท่าน เดินมาพิจารณาตักอาหาร พร้อมด้วยของหวาน ทุกชนิด บางรูปท่านก็อนุญาตให้ฉันสองมื้อได้ แต่ต้องตักอาหารเผื่อไว้ในบาตรของตน ภิกษุบวชใหม่บางรูปไม่คุ้นเคยเล่นเอาเกือบแย่เหมือนกัน กรรมฐานข้อนี้ควรฉันอาหารมื้อเดียวดังที่กล่าวมาน่าจะได้ผลดี

              ๔.  ปฏิกูลโดยอาสยะ   อาหารที่บริโภคนั้น   กำลังเข้าไปในลำไส้  เพราะในอาสยะ  ๔   คือ (๑)  อาสยะคือ  น้ำดี   (๒)  อาสยะคือ เสมหะ   (๓)   อาสยะคือ บุพโพ   (๔)  อาสยะคือ  โลหิต    แม้พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธะ  พระเจ้าจักรพรรดิหรือคนปัญญาอ่อนก็มีเหมือนกัน   แต่ผู้ใดมีน้ำดีมาก    อาหารที่เข้าไปในลำไส้เหมือนเปรอะด้วยยางมะซางข้น ๆ  น่าเกลียดยิ่งนัก  ผู้ใดมีเสมหะมากก็เหมือนเปรอะไปด้วยน้ำใบแตงหนู   ผู้ใดมีบุพโพมาก  ก็เหมือนเปรอะด้วย  เปรียงเน่า    ผู้ใดมีโลหิตมาก   ก็เหมือนเปรอะด้วยน้ำย้อมจีวรซึ่งน่าเกลียดยิ่งนัก

              ข้อนี้ก็เหมือนข้อก่อนที่ได้อธิบายมา ต่างกันตรงที่ว่า ข้อนี้กล่าวขณะที่ฉันอาหารคาวหวานลงไปแล้ว ท่านให้พิจารณาถึงสภาวธรรมที่เป็นจริงว่า การเกิดก็เป็นทุกข์ การขบฉันของนักปฏิบัติทุกข์เพราะความสังเวชในของปฏิกูล อันนี้สิที่จะทำให้นักปฏิบัติได้อกุศลสัญญา เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดความสังเวชในร่างกายตน

              ๕. ปฏิกูลโดยที่พัก   อาการที่ถูกกลืนเข้าไป  เปื้อนด้วยอาสยะทั้ง  ๔  อย่างใดอย่างหนึ่งนั้น   เมื่อเข้าไปในท้องแล้ว  หาได้ไปพักในภาชนะที่ทำด้วยทอง  หรือไปพักที่ภาชนะประดับด้วยแก้วมณีหรือภาชนะเงินไม่   ถ้าเด็กอายุ  ๑๐  ขวบ  กลืนลงไป  มันจะไปพักอยู่ในที่  เช่น  หลุมคูถซึ่งไม่ได้ล้างมา  ๑๐  ปี   ถ้าคนอายุ  ๒๐ ๙๐  ปี  กลืนลงไปมันก็ไปพักอยู่ในที่  เช่น  หลุมคูถซึ่งไม่ได้ล้างมา  ๒๐ ๙๐  ปี  ถ้าคนอายุ  ๑๐๐  ปี  กลืนลงไป  มันก็ไปพักอยู่ในที่  เช่น หลุมคูถซึ่งไม่ได้ล้างมา  ๑๐๐  ปี             

              ข้าพเจ้าเคยได้เข้าไปกราบพระนักปฏิบัติหลายรูปอยู่อย่างสมถะ  คือในห้องของท่านจะวางอัฏฐะบริขาร หนังสือ วางไว้เต็มห้อง  เหลือที่ไว้เพียงแค่นอนเท่านั้น ที่ท่านทำดังนี้ มิใช่ว่าท่านจะเป็นคนสกปกก็หาไม่  แต่ท่านต้องการให้ห้องของตนเองดูเป็นปฏิกูล  เพื่อพิจารณาความเป็นสังเวชให้เกิดมีขึ้นกับใจของตนเอง  เมื่อท่านได้ข้อวัตรดังนี้แล้วท่านจึงไม่ยึดติดในร่างกายสังขาร การขบฉันต่าง ๆ เมื่อเห็นก็เกิดความสังเวช ทันทีทำให้ท่านปลงเพราะความสังเวชอยู่ตลอดเวลา  ท่านที่เข้าไปหาภิกษุอย่าดูเพียงแต่ภายนอกให้ดูกันในพื้นของการปฏิบัติจะดีกว่า

              ๖.   ปฏิกูลโดยยังไม่ย่อย   อาหารที่เข้าไปพักอยู่ในกระเพาะแล้ว ยังไม่ย่อยทันที อาหารทั้งหมดจะถูกฝ้าเสมหะที่กลืนลงไปวันนั้นปิดคลุมไว้   ก่อเป็นฟองเป็นต่อมขึ้นเพราะถูกความร้อนแห่งไฟธาตุในร่างกายอบไว้   กลายเป็นของน่าเกลียดในที่มืดมิด  ตลบไปด้วยกลิ่นอาย   ซากสัตว์ที่เป็นอาหารต่าง ๆ  มีกลิ่นเหม็นน่าเกลียด  ประดุจของไม่สะอาด   เช่น   หญ้า  ใบไม้  เสื่อ ขาด ๆ    และซากงู   ซากสุนัข    หรือซากคนที่อยู่ในหลุมโสโครกข้างทางเข้าหมู่บ้านพวกจัณฑาลถูกเมฆฝนนอกฤดูกาลหน้าร้อนตกรดแล้ว   ถูกแดดเผาก่อเป็นฟองเป็นต่อม  สิ่งกลิ่นน่าเกลียด

              ๗.  ปฏิกูลโดยผล    อาหารที่ถูกย่อยดีเท่านั้นจึงผลิตซากต่าง ๆ  เช่น  ผม  ขน  เล็บ  ฟัน   เป็นต้นขึ้นได้  ที่ย่อยไม่ดีกลับก่อให้เกิดโรคขึ้นเป็น  ๑๐๐  ชนิด  เป็นต้นว่า   หิดเปื่อย   หิดด้าน    คุดทะราด  เรื้อน   กลาก  หืด  ไอ  และหอบ  นี่คือผลของมัน

              ๘.  ปฏิกูลโดยการไหลออก  อาหารที่ถูกกลืนลงไปช่องเดียว  แต่ไหลออกจากหลายช่อง   เช่น  มูลตาไหลออกจากตา   มูลไหลจากหู อนึ่ง  ในคราวกินก็กินกับพรรคพวกมากมาย  แต่คราวไหลออกก็กลายเป็นของไม่สะอาด   และถ่ายออกคนเดียว  ในวันที่กิน   เขาร่าเริงเบิกบานใจหรือเกิดปีติโสมนัส    แต่ในวันที่มันไหลออก    คนปิดจมูกเบือนหน้า  เกลียด  กระดาก  ในวันแรกคนยินดีละโมบ  ติดใจ  สยบกลืนมันลงไป  แต่วันต่อมาเกิดเป็นทุกข์   อายรังเกียจ  ถ่ายออกไป  ข้าว   น้ำ   ของเคี้ยว และของกินมีค่ามาก  เข้าทางช่องเดียว  แต่ไหลออก  ๙  ช่อง   คนกินข้าวพร้อมด้วยพวกพ้อง    แต่เมื่อถ่ายออกกลับไปหลบซ่อน   คนยินดีกินเข้าไป   แต่เมื่อถ่ายออกย่อมรังเกียจอาหารเหล่านั้น  แม้ค้างอยู่คืนเดียว   ก็เป็นของเสียไปทั้งสิ้น

              ๙.   ปฏิกูลโดยความเปรอะเปื้อน   แม้เวลาบริโภคอาหารก็เปื้อนมือ ริมฝีปาก ลิ้น  และเพดานปาก ทั้งหมดต่างก็ปฏิกูลไปหมดเพราะถูกอาหารเปื้อนเอา  แม้ล้างแล้วก็ยังต้องล้างอีก  เพื่อขจัดกลิ่น  เมื่อเราบริโภคเข้าไปแล้วมันยุ่ยเป็นฟองปุดขึ้นด้วยไฟธาตุ  แล้วก็ขึ้นมาเปื้อน  เป็นมูลฟัน   เปื้อนสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยปาก  เช่น ลิ้นและเพดานปากเป็นเขฬะและเสมหะ เป็นต้น   โดยเป็นมูลตา   มูลหู  น้ำมูก  น้ำมูตร  และอุจจาระ  เหมือนหุงข้าวอยู่นั้น  สิ่งที่เป็นกาก  เช่น  แกลบ  รำ  และข้าวลีบ   ก็ย่อมลอยขึ้นมาเปื้อนขอบปากหม้อข้าวและฝาซึ่งทวารที่มันเปื้อนแล้ว   แม้ล้างอยู่ทุกวันก็ยังไม่สะอาดหลังจากล้างทวารทั้งหลายแล้ว  จำต้องล้างมือด้วยน้ำ  ฟอกด้วยโคมัย  ด้วยดิน  หรือด้วยฝุ่นหอม  ๒ ๓   ครั้ง   จึงจะหายจากความปฏิกูล

              ๑๐. อาหาเรปฏิกูลสัญญา   เมื่อพระโยคาวจรพิจารณาความปฏิกูลโดยอาการ  ๑๐  อย่างนี้   ทำจนเป็นสภาวะปรากฏในจิตตลอดเวลา  เมื่อเจริญให้มากแล้ว  นิวรณ์ทั้งหลายจะระงับ  จิตตั้งมั่นเป็น อุปจารสมาธิ  ไม่ถึงอัปปนา   เพราะอาหารเป็นสภาพลึก  แต่จิตสามารถหยั่งลงสู่สภาวะการปฏิกูลได้  เพราะเหตุนั้น  กรรมฐานนี้ชื่อว่า  อาหาเรปฏิกูลสัญญา

              นักปฏิบัติ ทั้งหลายท่านลองมาพิจารณาธรรมอันเป็นเครื่องพิจารณาให้เกิดความอยากที่จะปฏิบัติ   เพราะเราสามารถวิเคราะห์ให้กระจ่างกับทุกข้อที่กล่าวมาเพราะเป็นการอธิบายด้วย
ข้อธรรมที่ชัดเจนยิ่ง และเป็นประโยชน์กับนักศึกษาการพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูลตั้งแต่ปลายผม จนถึงนิ้วเท้า ดังนี้ว่าเป็นของน่าเกลียด ไม่น่าจับต้องนี้ท่านถือได้ว่านิมิตคือความเป็นของปฏิกูล

              อาหาเร ปฏิกูลสัญญา พิจารณาจำหมายเอาอาหารอันน่าเกลียดเป็นกรรมฐาน เหมาะแก่พุทธิจริต โดยนำเอาอาหารที่รับประทานแล้ว มีสภาวะ น่าเกลียดปฏิกูล เหมือนอาหารที่อาเจียนออกมาจำมาบริกรรมว่า ปฏิกูล  น่าเกลียด ๆ จนเกิดอุคคหนิมิตติดตาบริกรรมไปจนเป็นอุปจารสมาธิ ใกล้ความเป็นฌานแต่ไม่ถึงฌานและไม่เกิด ปฎิภาคนิมิต แล้วยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ เกิดวิปัสสนาญาณรู้แจ้งเห็นจริงชัดว่า นึกถึง อาหารน่าเกลียด รูปนามเกิด รูปนามเกิด หยุดนึก รูปนามดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาผ่านญาณ๑๖ โอนโคตรจากปุถุชนไปสู่อริยะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นพระอริยบุคคลประเภทฌานลาภีบุคคลด้วยอาศัยสมถยานิกะ

 

อานิสงส์การเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญา [๓]

              อานิสงส์เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาจิตของผู้เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาอยู่เนือง ๆ  ย่อมถอยหดกลับ จากรสตัณหา ปราศจากความมัวเมา และกินอาหาร เพื่อต้องการจะข้ามทุกข์ดุจคน
เดินทางผ่านที่กันดารต้องการจะข้ามไปให้จงได้ ไม่มีอะไรจะกิน  จำต้องฆ่าบุตรแล้วกินเนื้อ  เช่นนั้น  ราคะในเบญจกามคุณก็จะละได้ไม่ยากนัก  โดยมีอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นหลัก  ควรจะกำหนดรู้รูปขันธ์ได้โดยกำหนดรู้เบญจกามคุณเป็นหลัก

              อนึ่ง  การเจริญกายคตาสติ   ก็จะบริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่งความปฏิกูลแห่งอาหาร  เช่น  อาหารที่ไม่ย่อยเป็นต้น  ควรเป็นผู้ดำเนินข้อปฏิบัติอนุโลมแก่อสุภสัญญาด้วย   อนึ่ง อาศัยข้อปฏิบัตินี้แล้ว  เมื่อยังไม่บรรลุพระอมตะในปัจจุบันชาติ  ก็จะเกิดในสุคติต่อไป

 

อาหาเรปฏิกูลสัญญา

              เมื่อพระโยคาวจร พิจารณาความปฏิกูล โดยอาการ  ๑๐  อย่างนี้ทำจนเป็นสภาวะปรากฏในจิตตลอดเวลา  เมื่อเจริญให้มากแล้วนิวรณ์ทั้งหลายจะระงับ จิตตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ ไม่ถึงอัปปนา  เพราะอาหารเป็นสภาพลึก  แต่จิตสามารถหยั่งสู่สภาวะการปฏิกูลได้  เพราะเหตุนั้นกรรมฐานนี้ ชื่อว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญา

              จิตของผู้เจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญาอยู่เนืองๆ ย่อมถอยหดกลับจากรสตัณหา ปราศจากความมัวเมาและกินอาหารเพื่อต้องการจะข้ามทุกข์ ดุจคนเดินทางผ่านที่กันดารต้องการจะข้ามไปให้จงได้ ไม่มีอะไรจะกิน จำต้องฆ่าบุตรแล้วกินเนื้อเช่นนั้น ราคะในเบญจกามคุณ ก็จะละได้ไม่ยากนักโดยมีอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นหลักควรจะกำหนดรู้รูปขันธ์ได้โดยกำหนดรู้เบญจกามคุณเป็นหลัก

              อนึ่ง การเจริญกายคตาสติก็จะบริบูรณ์ด้วยอำนาจแห่ความปฏิกูลแห่งอาหาร เช่น อาหารที่ไม่ย่อยเป็นต้น ควรเป็นผู้ดำเนินข้อปฏิบัติอนุโลมแก่อสุภสัญญาด้วย  อนึ่ง อาศัยข้อปฏิบัตินี้แล้ว เมื่อยังไม่บรรลุพระอมตะในปัจจุบันชาติ ก็จะเกิดในสุคติต่อไป

 

ววัตถานกัมมัฏฐาน  ๑  อย่าง (ทั้ง  ๔  รวมเป็นหนึ่ง)

              จตุธาตุววัตถาน   การกำหนดแยกคนออกเป็นธาตุ  ๔  คือ

              ๑.   ธาตุดิน        ปฐวี

              ๒.  ธาตุน้ำ        อาโป

              ๓.  ธาตุลม        วาโย

              ๔.  ธาตุไฟ        เตโช

              นักศึกษาพึงทราบการวินิจฉัยกัมมัฏฐานโดยแสดงจำนวนด้วยประการฉะนี้

              ๑.   ปฐวี   ธาตุดิน    ฝ่ายพระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญเตโชกสิณ พึงถือเอานิมิตในไฟ ในเตโชกสิณนั้น    สำหรับพระโยคาวจรผู้มีบุญมีอธิการได้สร้างไว้   เมื่อถือเอานิมิตในไฟที่มิได้แต่ง แลดูเปลวไฟที่ตะเกียงที่เตาที่ๆระบมบาตรหรือที่ไฟไหม้ป่าที่ใดที่หนึ่งก็ตาม นิมิตก็เกิดขึ้นได้
ดังพระจิตตคุตตเถร  ฉะนั้น  เล่ากันว่า    เมื่อท่านผู้นั้นเข้าไปสู่โรงอุโบสถในวันธรรมสวนะ แลดูเปลวตะเกียงเท่านั้น นิมิตก็เกิดขึ้น ส่วนพระโยคาวจรนอกนี้ คือผู้ไม่มีบุญญาธิการ ต้องแต่งขึ้นนี้เป็นวิธีทำ ในการแต่งกสิณนิมิตนั้น พึงผ่าฟืนไม้แก่นที่แห้งสนิท  ไม่มียางแล้ว ผึ่งแดดไว้แล้ว ตัดทำเป็นท่อน ๆ หอบไปสู่โคนไม้หรือมณฑปที่เหมาะสม กองฟืน เข้าโดยอาการดุจระบมบาตร ก่อไฟขึ้นแล้วทำให้เป็นช่อง กว้างประมาณคืบ  ๔  นิ้ว เป็นวงกลมเข้าที่เสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังหรือผืนผ้าก็ได้ ตั้งเสื่อลำแพนหรือแผ่นหนังหรือผืนผ้านั้นไว้ข้างหน้า นั่งโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล อย่าใส่ใจถึงหญ้าและไม้ข้างใต้ช่องหรือควันและเปลวข้างบนช่อง ถือเอานิมิตที่เปลวทึบตรงกลางช่อง ไม่ต้องพิจารณาสีของไฟ โดยว่ามันเป็นสีขาว หรือว่าสีเหลืองเป็นต้น ไม่ต้องใส่ใจลักษณะของเตโชธาตุ โดยว่ามันร้อน พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัย (ของมัน คือนึกเสียว่าสีนั้นมันเป็นอันเดียวกันกับไฟ ซึ่งที่อาศัยของมัน ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรมคือโลกโวหาร ตามที่เป็นคำใช้กันมาก ภาวนา เตโช เตโช โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของไฟทั้งหลาย เช่น ปาวโก กณฺหวตฺตนิ ชาตเวโท หุตาสโน   เมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้น นิมิตทั้ง  ๒  ย่อมจะเกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นโดยลำดับ อุคคหนิมิตในเตโชกสิณนั้น ปรากฏเป็นเช่นกับเปลวไฟขาดตกลงไป ๆ แต่สำหรับผู้ถือเอา นิมิตในไฟที่มิได้แต่งกสิณโทษย่อมจะปรากฏ คือ ท่อนฟืนบ้าง ก้อนถ่านบ้าง เถ้าบ้างควันบ้าง  ย่อมปรากฏ  ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏนิ่งดุจท่อนผ้ากัมพลแดงที่วางไว้ในอากาศและดุจพัดใบตาลสีทองดุจเสาทองฉะนั้นพร้อมกับความปรากฏแห่งปฏิภาคนิมิตนั้นแหละ พระโยคาวจรนั้นก็จะบรรลุอุปจารฌาน และจตุตกฌาน ปัญจกฌาน โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล

              ๒.  อาโป ธาตุน้ำ   ต่อไปนี้เป็นวิตถารกถาในอาโปกสิณ ในลำดับแห่งปฐวีกสิณ ก็แล
พระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญปฐวีกสิณเป็นผู้นั่งให้สบายฉันใดเล่า แม้ผู้จะเจริญอาโปกสิณก็พึงเป็น
ผู้นั่งให้สบายฉันนั้นแล้วถือเอานิมิตให้น้ำเถิดบททั้งปวงว่า  กเต  วา  อกเต  วา
(นิมิตที่แต่งขึ้นก็ดี ที่
มิได้แต่งขึ้นก็ดี) เป็นต้นบัณฑิตพึง(นำมากล่าว)ให้พิสดาร ตามนัยที่กล่าวแล้วในปวีกสิณ อนึ่ง  บททั้งปวงนั้นพึงนำมากล่าวให้พิสดารในอาโปกสิณนี้ฉันใดในกสิณทั้งปวงก็พึงให้พิสดารฉันนั้นเถิด เพราะว่าต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวคำ (กเต วา ฯ เป ฯ  วิตฺถาเรตพฺพํ
) เพียงเท่านี้อีก กล่าวแต่คำที่แปลกออกไป

              แม้ในอาโปกสิณนี้ นิมิตในน้ำที่มิได้แต่ง คือน้ำในสระในบึงหรือในทะเลในสมุทร
ก็ตามย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระโยคาวจรผู้มีบุญ มีอธิการได้สร้างไว้ในปางก่อนแท้ ดุจพระจูฬสิวเถรฉะนั้นได้ยินมาว่าเมื่อท่านผู้นั้นละลาภสักการะ ตั้งใจว่าจักไปอยู่อย่างสงัดขึ้นเรือที่ท่ามหาติตถะไปชมพูทวีป มองดูน้ำในมหาสมุทรในระหว่างทาง กสิณนิมิตอันมีส่วนเปรียบแห่ง น้ำใน มหาสมุทรนั้น มีขนาดเท่าที่มองเห็นได้เกิดขึ้น ส่วนพระโยคาวจรผู้มิได้สร้างอธิการไว้เมื่อจะหลีกละกสิณโทษทั้ง ๔ อย่าพึงถือเอาน้ำที่มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว สีใดสีหนึ่ง ส่วนน้ำฝนใดตกลงมา ยังไม่ถึงพื้นดิน บุคคลรองเอาในอากาศด้วยผ้าสะอาด หมายถึงผ้าไม่มีสี เพราะถ้าเป็นผ้ามีสีสีอาจตกทำให้น้ำกลายเป็นน้ำสีไปไม่ใสสะอาด หรือ
น้ำอื่นที่ใสสะอาดอย่างนั้นก็ได้พึงบรรจุน้ำนั้นให้เต็มบาตรหรือกุณฑี (หม้อน้ำ) เสมอขอบปากแล้วนำไปตั้งในที่ว่างที่กำหนดมีประการดังกล่าวแล้ว

              นั่งให้สบาย ไม่ต้องพิจารณาสีของน้ำ ไม่ต้องใส่ใจลักษณะของอาโปธาตุ  พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัยของมัน คือนึกเสียว่าสีนั้นเป็นอันเดียวกันกับน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม (คือโลกโวหาร) ตามที่เป็นคำใช้กันมากภาวนาไปว่า  อาโป อาโป โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของน้ำทั้งหลายเช่น อมฺพุ อุทกํ วาริ สลิลํ เมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้น นิมิตทั้ง ๒ ย่อมจะเกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นโดยลำดับแต่ว่าในอาโปกสิณนี้อุคคหนิมิตจะปรากฏเหมือนว่ายังไหวอยู่  ถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำเจือด้วยฟองด้วยต่อมอุคคหนิมิตก็จะปรากฏเป็นอย่างนั้นเหมือนกันชื่อว่ากสิณโทษปรากฏ   ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นดวงนิ่งแจ๋วเหมือนพัดใบตาลแก้วที่คนวางไว้ในอากาศ และเหมือนวงแว่นแก้วฉะนั้น พร้อมกับความปรากฏแห่งปฏิภาคนิมิตนั้นแหละพระโยคาวจรนั้น ก็จะบรรลุอุปจารฌาน และจตุกฌาน ปัญจกฌาน โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล

              ๓.  วาโย   พระโยคาวจรแม้นใคร่จะเจริญ พึงถือเอานิมิตในลม ก็แลนิมิตในลมนั้นพึงถือเอาได้ทางเห็นบ้าง   ทางถูกต้องบ้าง   เพราะคำต่อไปนี้  ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า "พระโยคาวจรผู้จะขึ้นเอาวาโยกสิณย่อมถือเอานิมิตในลม คือกำหนดเอายอดอ้อยที่ไหวไปมา หรือกำหนดเอายอดไผ่หรือยอดไม้หรือปลายผมที่ไหวไปมาก็ได้ กำหนดเอาลมอันพัดมาต้องที่กายก็ได้ " ดังนี้ เพราะเหตุนั้นพระโยคาวจร ผู้เจริญวาโยกสิณ เห็นต้นอ้อยก็ดี กอไผ่ก็ดี ต้นไม้ก็ดี ที่มีใบหนาตั้งอยู่สูงเพียงศีรษะ(จะได้เพ่งดูตรงๆ ตามสบาย ไม่ต้องแหงน ไม่ต้องก้ม ) หรือผมของคนที่มีผมหนายาวประมาณ๔องคุลีก็ดี( ผมสั้นไป ต้องลมก็ไม่ไหว ถ้ายาวไปก็ห้อยเสีย ถ้าบางไปก็ลู่ตามลมไม่ปรากฏอาการต้องลมเพราะฉะนั้น

              ๔.  เตโช    การพิจารณา ธาตุไฟนั้นท่านครูอาจารย์รุ่น เก่า ๆ ได้ให้ภิกษุปฏิบัติกันโดยนัยดังกล่าวด้วยวิธีต่อไปนี้ คือ

              ๑.   เจริญเตโชด้วยการกำหนด ก่อกองไฟด้วยไม้จันทร์เปลวไฟจะพัดและร้อน(ให้เห็นเป็นการเผาศพ)

              ๒.  ให้พิจารณา ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นใหม่ ๆ และกำลังจะตก ท่านห้าม(เพ่งพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยงจะทำให้เกิดโทษทางตาคือตาอาจบอดได้)

              ๓.  เพ่งเทียนหรือคบไฟ(น้ำมัน)  นักปฏิบัติบางท่านพยายามฝึกกรรมฐานให้เกิดประโยชน์กับจิตโดยนำมาเป็น อารมณ์แล้วท่านให้ภาวนาว่า   “เตโช เตโช  เรื่อยไปต่อเนื่องติดกันจะทำให้เข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

              ๔.  อาจารย์บางท่าน สอนให้พระภิกษุดูพยับแดด ที่ร้อนระอุเป็นอารมณ์เมื่อพยับแดดที่ร้อนระอุ  ในตอนกลางวันมีแน่นหนา (คือความร้อน) สัมผัสได้ท่านได้ใช้อาศัยองค์กสิณแห่งพยับแดดนั้นเป็นการทรงอารมณ์กรรมฐานมีหลายรูปที่ใช้กสิณพยับแดดนี้บรรลุพระอรหันต์

              ท่านจึงกำหนดเอา  ๔  องคุลี (๔ นิ้ว) ไม่สั้น ไม่ยาว  และหนาด้วย อาการต้องลมจะได้ปรากฏ คือไหวไปมาได้ ที่ลมพัดอยู่ พึงตั้งสติระลึกว่า "ลมนี่พัดที่นั่น " ก็หรือว่า ลมเข้าทางช่องหน้าต่างบ้างช่องฝาบ้างมาต้องร่างกายของเธออันใด  พึงตั้งสติในลมอันนั้น ภาวนาว่า  วาโต  วาโตโดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของลมทั้งหลาย เช่น วาตะ มาลุตะ อนิละ อุคคหนิมิตในวาโยกสิณนี้ปรากฏยังเป็นนิมิตไหวเช่นกับกลุ่มไอร้อนแห่งข้าวปายาสที่เพิ่งปลงลงจากเตา ส่วนปฏิภาคนิมิตเป็นดวงนิ่งแน่วคำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นเทอญ

 

 

 

อารุปปกัมมัฏฐาน  ๔  อย่าง  (อรูปธรรม  ๔) [๔]

              ๑.   อากาสานัญจายตนะ           อากาศไม่มีที่สุด

              ๒.  วิญญาณัญจายตนะ วิญญาณไม่มีที่สุด

              ๓.  อากิญจัญญายตนะ  ความไม่มีอะไร และ

              ๔.  เนวสัญญานาสัญญายตนะ   สัญญาละเอียด ซึ่งจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่

 

วิธีการพิจารณาอารุปปกัมมัฏฐาน

๑.   อากาสานัญจายตนะ   อากาศไม่มีที่สุด

                      อากาสานัญจายตนะ พิจารณาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นกรรมฐาน เหมาะสมแก่จริตทุกจริต  โดยอาศัยเจริญกรรมฐานที่แสดงมาแล้วมีกสิณเป็นต้น  จนถึงปฏิภาคนิมิต  ในอัปปนาสมาธิ  ทำเป็นวสีจนชำนาญผ่านปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน  จตุตถฌาน จนถึงปัญจมฌาน แล้วละนิมิตกสิณเป็นต้นเสีย  เพ่งความว่างจากนิมิตนั้นบริกรรมว่า  อากาโส  อนันโต   อากาศไม่มีที่สุด  ซึ่งมีอุเบกขา  เอกัคคตา  เป็นองค์ฌานเข้าประกอบอยู่แล้วถึงปัญจมฌานแล้วเพ่งอากาศความว่าง  ทำเป็นวสีจนชำนาญ  เรียกว่าอรูปฌาน  เป็นอัปปนาสมาธิเห็นแจ้งชัดในไตรลักษณ์ คือนึกถึงอากาศความว่าง  รูปนามเกิด  หยุดนึก  รูปนามดับ  เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ผ่านญาณ  ๑๖  โอนโคตรจากปุถุชนไปสู่อริยะ  ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์

 

 

๒.   วิญญาณัญจายตนะ   วิญญาณไม่มีที่สุด

                      วิญญาณัญจายตนะ   พิจารณาวิญญาณความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุดเป็นกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทุกจริต   โดยละจากอากาศมาเพ่งวิญญาณที่รู้อากาศ   เอาความว่างเป็นอารมณ์   บริกรรมว่า  วิญญาณัง   อนันตัง  วิญญาณความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุด    จนเกิดอุคคหนิมิตติดใจแต่ไม่ถึงปฏิภาคนิมิต   เป็นอัปปนาสมาธิแน่วแน่    มีอุเบกขา   เอกัคคตา    เข้าประกอบในปัญจมฌาน  เรียกว่า    อรูปฌาน    แล้วยกรูปนามในอรูปฌานขึ้นสู่วิปัสสนา    พิจารณาเห็นแจ้งในไตรลักษณ์ว่า   นึกถึงวิญญาณ    รูปนามเกิด   หยุดนึก    รูปนามดับ    เป็นอนิจจัง    ทุกขัง   อนัตตา    ผ่านญาณ  ๑๖  โอนโคตรจากปุถุชนไปสู่อริยะ  ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์   เป็นพระอริยะบุคคลประเภท  ฌานลาภีบุคคลด้วยอาศัย   สมถยานิกะ

              ท่านที่ปฏิบัติกรรมฐาน  โดยอาศัยกรรมฐานคือสุญญตา จะทำให้ร่างกายเบา และสามารถทำให้จิตผ่องใส ดุจเดียวกับอากาศธาตุได้และที่สำคัญคือเมื่อเจริญมากแล้วก็จะได้บรรลุฌาน ๔ สมาบัติ  ๘   และสามารถแสดงฤทธิ์ได้คือสามารถเปลี่ยนอากาศเป็นพื้นได้ ดังเช่นหลวงปูแหวน  สุจิณฺโณ  วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นต้น

 

๓.   อากิญจัญญายตนะ   ความไม่มีอะไร

              อากิญจัญญายตนะ   พิจารณาเพ่งความไม่มีอะไร    เป็นกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทุกจริต  นำมาพิจารณา   โดยอาศัย   จากเพ่งวิญญาณละจากเพ่งวิญญาณความรู้เป็นอารมณ์แล้ว   มาพิจารณาความไม่มีอะไรเป็นอารมณ์   โดยบริกรรมว่า   นัตถิ  กิญจิ  ๆ   นิดหนึ่งก็ไมมี    น้อยหนึ่งก็ไม่มี    จนเกิดอุคคหนิมิตติดใจแต่ไม่เป็นปฏิภาคนิมิต   เพ่งไปจนเป็นอัปปนาสมาธิมีอุเบกขากับเอกัคคตาเป็นอารมณ์เข้าประกอบ 

              ซึ่งสืบเนื่องมาจาก ปัญจมฌานมาในที่นี้เรียกว่า อรูปฌาน แล้วยก รูปนาม ในอรูปฌานขึ้นสู่วิปัสสนา    พิจารณาเห็นแจ้งชัดในพระไตรลักษณ์ว่า    นึกถึงความไม่มีอะไร    รูปนามเกิด หยุดนึกรูป - นามดับ  เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ผ่านญาณ  ๑๖  เปลี่ยนจากโคตรปุถุชนไปสู่อริยะโคตร  ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์  เป็นพระอริยะบุคคลประเภท  ฌานลาภีด้วยอาศัย สมถยานิกะ

 

๔.   เนวสัญญานาสัญญายตนะ   สัญญาละเอียด ซึ่งจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่

              เนวสัญญานาสัญญายตนะ    พิจารณาความปรากฏแห่งสัญญาบ้าง   ความไม่ปรากฏแห่งสัญญาบ้าง   ซึ่งเป็นสัญญาความจำละเอียด    เป็นกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทุกจริต   โดยการสืบเนื่องมาจากพิจารณาความไม่มีอะไรในรูปฌานที่ 3 ละจากความไม่มีอะไรมาพิจารณาสัญญาความรู้อันละเอียดอ่อนบริกรรมว่า  เอตัง   สันตัง  เอตัง  ปณีตัง   นี้สงบ    นี้ประณีต    จนเกิดอุคคหนิมิตติดใจแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ  มีอุเบกขา และเอกัคคตาประกอบเป็นปัญจมฌาน เร็วกว่าอรูปฌาน  เพราะได้สัญญา ความไม่ใช่รูปเป็นอารมณ์   แล้วยกรูปนามในอรูปฌานขึ้นสู่วิปัสสนา    พิจารณาพระไตรลักษณ์   เห็นแจ้งชัดว่า นึกถึงสัญญาที่สงบละเอียด  รูปนามเกิด  หยุดนึก  รูปนามดับ  เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ผ่านญาณ  ๑๖  โอนโคตรปุถุชนไปสู่อริยะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์   เป็นอริยะบุคคลประเภทฌานลาภีบุคคลด้วยอาศัย   สมถยานิกะ

              เนวสัญญานาสัญญยตนะ นี้คืออยู่ในระหว่างอารมณ์ คืออากาศ บวกด้วย ลมหายใจที่มาประกอบกันบางท่านใช้สุญญากาศในกลางกาย(วิชาธรรมกาย) เกิดความว่างแล้วพุ่งสู่จุดศูนย์กลางกายเกิดนิมิต ประคองจิตให้เหลือเพียงความว่างเปล่าทรงอารมณ์อยู่อย่างนั้นท่านเรียกวิธีการเจริญตรงนี้ว่า อรูปฌาน ก็เพราะว่าไม่หวังผลในอายตนะ ๕ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น

              เมื่อบุคคลใดก็ตามเจริญกรรมฐานข้อนี้เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดในชั้นอรูปพรหม มีเพียงจิตอย่างเดียวล่องลอยไปไม่มีกาย ไม่สามารถติดต่อสื่อสานกับใครได้เลย ผู้ที่ได้บรรลุฌานนี้ในพุทธประวัติกล่าวไว้ สองท่านคือ  ๑. อาฬารดาบส  กาลามโคตร   ๒. อุททกดาบส  รามบุตร  คืออาจารย์ทั้งสองคนของพระศาสดา หลังจากที่พระองค์ทรงบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตั้งใจจะมาโปรดอาจารย์ทั้งสองเห็นแล้ว ตรัสแล้วว่า  “โอ้ฉิบหายแล้ว ๆ  ที่ท่านตรัสกล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่าอรูปพรหมนั้นไม่สามารถรับฟังธรรมของพระองค์ได้นั่นเอง

 

วิธีการพิจารณา จตุธาตุววัฏฐาน  ๑

              จตุธาตุววัฏฐาน  พิจารณาธาตุทั้ง  ๔  ที่ประชุมกันเป็นร่างกายนี้ เป็นกรรมฐานเหมาะแก่พุทธิจริต โดยนำเอาสสัมภารปฐวี  ๒๐  มีเกสา ผมเป็นต้น สสัมภารอาโป  ๑๒  มีโลหิต เลือด เป็นต้น สสัมภารเตโช ๔ มีสันตัปปัคคีไฟ ทำให้อบอุ่น เป็นต้น

              สสัมภารวาโย   อังคมังคานุสารี วาตา ลมที่พัดไปในอวัยวะน้อยใหญ่เป็นต้น  มาบริกรรมว่า  เกสา ผม ๆ  เป็นต้น จนเกิดจนเกิดอุคคหนิมิตติดตาบริกรรมไปจนเป็นอุปจารสมาธิ ใกล้ความเป็นฌานแต่ไม่ถึงฌานมีจิตอันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา  พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ชัดว่า นึกถึง เกสาผม รูปนามเกิด หยุดนึก รูปนามดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาผ่านญาณ  ๑๖  โอนโคตรจากปุถุชนไปสู่อริยบุคคลประเภท สมถยานิกะ  คือทำความสงบก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาภายหลัง

 

อารักขกรรมฐาน  ๔ 

              กรรมฐานที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีอยู่  ๔  ประการ   ซึ่งจะเป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติโดยตรง และเป็นตัวกำจัดซึ่งภัยเกิดขึ้นโดยเฉพาะ

              กรรมฐานทีเรียกว่า  อารักขกรรมฐาน  ๔  ประการนั้น ก็คือ

                    ๑.   พุทธานุสสสติ  การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

                    ๒.  เมตตา   การปรารถนาความสุขแก่สัตว์โลกทั้งปวง

                    ๓.  อสุภะ   การพิจารณาร่างกายให้เห็นว่าเป็นของไม่งาม

                    ๔.  มรณัสสติ  การระลึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนและผู้อื่น

              ทั้ง   ๔   ประการนี้เรียกว่า จตุรักขกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานเป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติ ๔  ประการ

 

 

สรุป

              อาหาเรปฏิกูลสัญญา  คือ ความรู้ในอาหารโดยเป็นสิ่งที่น่าเกลียดพิจารณาอาหารทั้งหลายเป็นของน่าเกลียดขยะแขยง ท่านทรงแนะให้ภิกษุให้ศาสนานี้ พิจารณาอาหารก่อนการ การพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา  ข้อนี้เป็นไปเพื่อความละกิเลส การพิจารณาอาหารว่าเป็นของไม่น่าสะอาดท่านแนะวิธีการพิจารณาให้เห็นว่า ไม่งามทั้งสิ้นอาหาเรปฏิกูลสัญญา  ในกรรมฐานนี้ในอาหาร  ๔ นี้ คือ  กวฬิงการาหารที่แยกประเภทเป็นของกิน  ของดื่ม  ของเคี้ยว  ของลิ้ม  เท่านั้น 

 

              สำหรับจตุธาตุววัฏฐาน คือพิจารณาธาตุทั้ง  ๔  ที่ประชุมกันเป็นร่างกายนี้ เป็นกรรมฐานเหมาะแก่ผู้เป็นพุทธิจริต โดยนำเอาสสัมภารปฐวี  ๒๐  มีเกสา ผมเป็นต้น สสัมภารอาโป  ๑๒  มีโลหิต เลือด เป็นต้น สสัมภารเตโช ๔  มีสันตัปปัคคีไฟ ทำให้อบอุ่นเป็นต้น  บริกรรมไปจนเป็นอุปจารสมาธิ  ใกล้ความเป็นฌาน  แต่ไม่ถึงฌานมีจิตอันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา  พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ชัดว่า นึกถึง เกสาผม รูปนามเกิด หยุดนึก รูปนามดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาผ่านญาณ  ๑๖  โอนโคตรจากปุถุชนไปสู่อริยบุคคลประเภท สมถยานิกะ คือทำความสงบก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาภายหลัง

 

 

 

 

 

 

 

แบบฝึกหัดประจำบทที่  ๗

 

      ๑.     จงให้ความหมายของคำว่า อาหาเรปฏิกูลสัญญา คืออะไร ?  มีเท่าไร ?  อะไรบ้าง ?

      ๒.    จงอธิบายคำว่า  กวฬิงการาหาร  ว่าโดยย่อ มีเท่าไร ?   อะไรบ้าง ?

      ๓.     จงแสดงอานิสงศ์ของการเดินจงกรม มาให้เข้าใจ ?

      ๔.     การพิจารณาสรรพสิ่งว่าเป็นของเปรอะเปื้อน คืออะไร ?   ท่านมีวิธีการพิจารณาอย่างไร ?

      ๕.     จงอธิบาย คำว่า อาสยะ มีความหมายว่าอย่างไร ?   จงอธิบายมาพอเข้าใจ

      ๖.     จงบอกอานิสงส์ของการเจริญกรรมฐานในข้อ อาหาเรปฏิกูลสัญญา มาให้เข้าใจ?

      ๗.     จตุธาตุววัตตถาน คือ อะไรบ้าง ? มีการพิจารณา อย่างไร ?   แล้วเกิดจากอะไร ?

      ๘.     จงอธิบายคำว่า  อารุปปกรรมฐานคืออะไร? มีเท่าไร  ?   อะไรบ้าง  ?

      ๙.     จงอธิบาย คำว่า อารักขกรรมฐาน ว่ามีความหมาย อย่างไร ?   มีความสำคัญหรือไม่ ?

               อธิบาย

      ๑๐.   การเจริญพุทธานุสติ มีผลดีต่อผู้ปฏิบัติอย่างไร ?  อธิบาย

 


 

 

 

 

 

 

หนังสืออ้างอิงและอ่านประกอบ

 

๑.     ชมรมชีวภาพคัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมสภา,

  ๒๕๓๗).

      ๒.    พระเทพวิสุทธิกวี, บทอบรมกรรมฐาน,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย

              ๒๕๓๘).

      ๓.     สมเด็จพระพุฒาจารย์  (อาจ  อาสภมหาเถร)คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

              บริษัทประยูรวงศ์พริ้นติ้ง๒๕๔๗).

 


 

 

          



[๑] ชมรมชีวภาพ,  คัมภีร์วิสุทธิมรรค สำหรับประชาชน,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๓๗),  หน้า  ๕๕๓ .

[๒] พระเทพวิสุทธิกวี, บทอบรมกรรมฐาน,  (กรุงเทพฯ  :  โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,  ๒๕๓๘),  หน้า  ๒๙.

[๓]  สมเด็จพระพุฒาจารย์  (อาจ  อาสภมหาเถร),  คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท

ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง,  ๒๕๔๗),  หน้า  ๔๗-๔๙.

[๔]  วิสุทธิมรรค.  เรื่องเดียวกัน,  หน้า  ๕๗๗-๕๙๑.

ความคิดเห็น