เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 5.เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.


อสุภ 10

 

บรรยายโดยพระมหาไพจิตร อุตฺตมธมฺโม

เครดิตเนื้อหาจาก พระครูธรรมธร มะลิน กิตฺติปาโล,ผศ.

 

 

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการปฏิบัติกรรมฐานสัปดาห์ที่ 5

 

 

           กรรมฐานชนิดหนึ่งที่พระบรมศาสดาได้ทรงสั่งสอนให้พระสงฆ์สาวกและบุคคลทั่วไปได้ประพฤติปฏิบัติตาม เป็นการทำให้ใจของผู้ปฏิบัติคลายจากความกำหนัด เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ก็คืออสุภกรรมฐาน อสุภกรรมฐานนี้ถือเป็นการงานอย่างยอดเยี่ยมในการที่จะ ลด ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นในกองแห่งสังขาร อันเป็นต้นเหตุ แห่งการสร้างภพสร้างชาติ เพราะฉะนั้น  เมื่อบุคคลใดที่ได้อบรมบ่มนิสัยต้องการละกิเลสกามที่เป็นเหตุให้เกิดความรักใคร่ ถวิลหาด้วยใจที่ยินดี และความติดใจในกามคุณทั้งหลายจะคลายความกำหนัดยินดี ในอารมณ์ที่น่ายินดี ที่น่าพอใจทั้งหลาย ทำให้เกิดทุกข์ เกิดโทษต่อการไม่สำรวมระวังใจอันเป็นวิสัยของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา  ถ้าได้เรียนปริยัติธรรมไว้บ้างก็พอจะเข้าใจธรรมชาติ และสามารถลด  ละ  เลิก  เกิดความเบื่อหน่าย คลายจากความยินดียินร้าย ในรูปสัมผัส ในรสสัมผัส ในกลิ่นสัมผัส ในเสียงที่น่าไพเราะยินดีปรารถนามาเป็นของตน   เมื่อเราไม่ได้ในสิ่งอันเป็นที่รัก ที่น่าพอใจทั้งหลายนั่นก็คือ ความทุกข์ 

 

              เมื่อเรารู้ว่า ความทุกข์ทำให้เราไม่เป็นสุข   กามกิเลสทั้งหลายเป็นเหตุให้เราได้รับความทุกข์ เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติกรรมฐานจึงควรเรียนรู้ถึงวิธีการพิจารณาอสุภกรรมฐานตามสภาพความเป็นจริง ดังนี้

 

อสุภกัมมัฏฐาน  ๑๐  อย่าง

              อสุภกัมมัฏฐาน[1]  ในที่นี้ ท่านกล่าวว่ามีทั้งหมด  ๑๐  อย่าง คือ

              ๑.   อุทธุมาตกอสุภะ    ซากศพที่ขึ้นพองน่าเกลียด

              ๒.   วินีลกอสุภะ          ซากศพที่ขึ้นเป็นสีเขียวน่าเกลียด

              ๓.   วิปุพพกอสุภะ       ซากศพที่มีหนองแตกพลักน่าเกลียด

              ๔.   วิจฉิททกอสุภะ      ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ น่าเกลียด

              ๕.   วิกขายิตกอสุภะ    ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกระจุยกระจายน่าเกลียด

              ๖.   วิกขิตตกอสุภ        ซากศพที่ทิ้งไว้เรี่ยราดน่าเกลียด

              ๗.   หตวิกขิตตกอสุภ   ซากศพที่ถูกสับฟันทิ้งกระจัดกระจายน่าเกลียด

              ๘.   โลหิตกอสุภ          ซากศพที่มีโลหิตไหลออกน่าเกลียด

              ๙.   ปุฬุวกอสุภ           ซากศพที่เต็มไปด้วยหนอนน่าเกลียด และ

             ๑๐.  อัฏฐิกอสุภ           ซากศพที่เป็นกระดูกน่าเกลียด

              การพิจารณาให้เห็นเป็นของไม่งามนั้นท่านให้ ผู้มีกามราคะกำหนัดยินดีเป็นผู้นำหลักการนี้ไปพิจารณา

 

วิธีการพิจารณา อสุภ  ๑๐

๑.   อุทธุมาตกอสุภ  ซากศพที่ขึ้นพองน่าเกลียด

              อสุภที่ชื่ออุทธุมาตะ[2] เพราะเป็นซากที่พองขึ้น โดยความที่มันค่อยอืดขึ้นตามลำดับนับแต่สิ้นชีวิตไปดุจลูกหนังอันพองด้วยลมอุทธุมาตะนั่นเอง เป็นอุทธุมาตกะนัยหนึ่ง อุทธุมาตอสุภ จัดว่าเป็นของน่าเกลียดเพราะเป็นสิ่งปฏิกูล  เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอุทธุมาตกะ (อุทธุมาตกอสุภอัน
น่าเกลียด)  คำว่าอุทธุมาตกะนั่นเป็นคำเรียกซากศพที่เป็นอย่างนั้น

              จากข้อความนี้ท่านให้พิจารณาร่างกายของคนเราเข้ามาพิจารณา เข้ามาสู่ตนให้เห็นเป็นของไม่งามเพื่อคลายความกำหนัดของความสวยแห่งสภาวธรรมที่สร้างขึ้นมาด้วยธาตุทั้ง ๔  รวมตัวกันทำให้เกิดภาวะแห่งรูปละเอียด รูปหยาบขึ้น อันเป็นมูลเหตุของความยึดมั่นในสังขารคือร่างกาย ให้เห็นว่างามเป็นต้น เมื่อเราพิจารณาศพที่ตายขึ้นอืดพอง ผิวเขียวคล้ำ ปากจมูกบวมเปล่ง ทำให้ผู้พบเห็นคลายความกำหนัดยินดี ขั้นนี้ต้องใช้โยนิโสมนสิการ เข้ามาประกอบการพิจารณาเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ

 

๒.   วินีลกอสุภ   ซากศพที่ขึ้นเป็นสีเขียวน่าเกลียด

           อสุภที่มีสีเขียวคล้ำคละด้วยสีต่าง ๆ  เรียกว่า วินีละ   วินีละนั่นเองเป็นวินีลกะ นัยหนึ่ง
วินีลอสุภ จัดว่าเป็นของน่าเกลียด  เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล  เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วินีลกะ
(วินีลอสุภอันน่าเกลียด)  คำว่า  วินีลกะ นั่นเป็นคำเรียกซากศพอันมีสีแดงในที่ ๆ  เนื้อหนามีสีขาวในที่ ๆ  บ่มหนอง  แต่โดยมากมีสีเขียวคล้ำในที่ ๆ  เขียวเป็นเหมือนคลุมไว้ด้วยผ้าเขียว

              ซากศพที่กำลังเขียวคล้ำลิ้นจุกปาก ทำให้เราคลายกำหนัดยินดีในรูปและสังขาร (อารมณ์ที่มากระทบใจ)  ให้เกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายในร่างกายสังขารต้องมีโยนิโสมนสิการเข้าประกอบพิจารณา   มิฉะนั้นแล้วจะทำให้คิดฆ่าตัวตายเพราะความเห็นผิดว่าเมื่อร่างกายของเรานี้ไม่น่าอยู่ เหม็นเน่าอยู่  ถ้าเราตายไปก็จะพ้นสภาพความเน่าเหม็นนี้ได้  เพราะฉะนั้นผู้ใช้อสุภกรรมฐานเป็นบาทกำหนดพิจารณาต้องระวังด้วย

 

๓.   วิปุพพกอสุภ   ซากศพที่มีหนองแตกพลักน่าเกลียด

           อสุภที่มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มอยู่ในที่ ๆ  แตกปริทั้งหลาย ชื่อ  วิปุพพะ   วิปุพพะนั่นเองเป็น
วิปุพพกะนัยหนึ่ง  วิปุพพอสุภ  จัดว่าเป็นของน่าเกลียด  เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล   เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า วิปุพพกะ (วิปุพพอสุภอันน่าเกลียด)   คำว่า วิปุพพกะ นั่นเป็นคำเรียกซากศพที่เป็นอย่างนั้น

              ศพที่มีนำเหลืองไหลนั้นกลิ่นจะฉุนของสังขารมีอาการเหม็นเขียวเป็นอารมณ์ที่ทำให้คลายกำหนัด เมื่อพิจารณาแล้วใช้โยนิโสมนสิการ   พิจารณาด้วยปัญญาแล้วทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขาร เห็นกองทุกข์ได้

 

๔.   วิจฉิททกอสุภ   ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ น่าเกลียด

           อสุภ  ที่แยกออกจากกัน  โดยขาดเป็น  ๒  ท่อน  เรียกว่า วิจฉิททะ   วิจฉิททะนั่นเอง          เป็นวิจฉิททกะนัยหนึ่ง วิจฉิททอสุภ จัดว่าเป็นของน่าเกลียด เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่าวิจฉิททกะ (วิจฉิททอสุภอันน่าเกลียด)   คำว่า  วิจฉิททกะ นั่นเป็นคำเรียกซากศพที่ถูกตัดกลางตัว

              การพิจารณา ซากศพที่ถูกตัดขาดเป็นท่อน ๆ ท่านให้พิจารณาว่าคนเราถ้าตายไปแล้วก็เหมือนท่อนไม้ ท่อนฟืนเท่านั้น  เมื่อร่างกายถูกตัดขาดออกจากกันก็คือท่อนไม้ ท่อนฟืนที่เขาวางเรียงไว้ เมื่อร่างกายไร้วิญญาณความไม่แน่นอนของกองแห่งสังขารก็คือความไม่เที่ยง จะหาสาระใดกับซากศพที่รอวันเขานำไปทิ้งในป่าได้  ท่านให้พิจารณาดังนี้

 

๕.   วิกขายิตกอสุภ   ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกระจุยกระจายน่าเกลียด

              อสุภที่ชื่อว่าวิกขายิตะ เพราะถูกสัตว์ทั้งหลายมีสุนัขบ้านและสุนัขป่า เป็นต้น กัดกินโดยอาการต่าง ๆ  ตรงนี้บ้างตรงนั้นบ้าง วิกขายิตะ นั่นเองเป็นวิกขายิตกะ นัยหนึ่ง วิกขายิตอสุภ จัดว่าเป็นของน่าเกลียดเพราะเป็นสิ่งปฏิกูลเพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า วิกขายิตกะ คำว่า วิกขายิตกะ นั่นเป็น
คำเรียกซากศพที่เป็นอย่างนั้น

 

๖.   วิกขิตตกอสุภ   ซากศพที่ทิ้งไว้เรี่ยราดน่าเกลียด

              อสุภที่กระจุยกระจายไปต่างๆ ( เนื่องด้วยสัตว์กัดแทะ ) เรียกว่า วิกขิตตะ วิกขิตตะนั่นเองเป็นวิกขิตตกะ นัยหนึ่ง วิกขิตตอสุภ จัดว่าเป็นของน่าเกลียด เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าวิกขิตตกะ   คำว่า  วิกขิตตกะ นั่นเป็นคำเรียกซากศพที่กระจุยกระจายไปที่นั้น ๆ   คือมือไปทางหนึ่งเท้าไปทางหนึ่งศีรษะไปทางหนึ่งดังนี้เป็นต้น

              ในข้อ  ๕ ๖  นี้ในสมัยอินเดียครั้งพุทธกาล  เวลาคนตาย  บางครั้งไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้(เพราะประชากรมีมาก) ในโบราณป่านั้นเต็มไปด้วยซากศพที่ถูกงูกัดบ้าง  ถูกโจรทำร้ายบ้างนำไปทิ้งไว้ในป่า สุนัขซึ่งมีสัญชาติญาณในการดมกลิ่น ย่อมรู้ได้ทันทีว่าอาหารอันโอชะ กำลังนอนอยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นดังนี้ท่านให้ใช้เวลาพิจารณาในช่วงเวลาตีสองถึงตีสี่ ในการพิจารณาเหตุที่ให้ปฏิบัติอย่างนั้นเพราะเป็นเวลาที่ควรแก่ความสงบเมื่อทรงอารมณ์อยู่ให้กำหนดหมายว่าเราก็เป็น
เช่นนั้นเองไม่มีสิ่งใดไม่เป็นไปอย่างที่เห็นนี้  ร่างกายของเราที่ดูเป็นของน่าเกลียดโสโครกก็เช่นกันให้พิจารณาดังนี้

 

๗.   หตวิกขิตตกอสุภ   ซากศพที่ถูกสับฟันทิ้งกระจัดกระจายน่าเกลียด

              อสุภที่ชื่อ หตวิกขิตตกะ เพราะอสุภนั้นถูกประหารด้วย กระจุยกระจายโดยนัยก่อนนั้นด้วย คำว่า  หตวิกขิตตกะ นั่นก็เป็นคำเรียกซากศพอันถูกคนสับฟันที่อวัยวะใหญ่น้อย โดยอาการ (ยับอย่างกะ) ตีนกาแล้วเหวี่ยงกระจายไปโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้น

              ในสมัยอินเดียโบราณเมื่อมนุษย์บางคนถูกฆ่าตายและถูกตัดแยกร่าง  ทำให้ศพกระจุยกระจาย   ตามประวัติพบว่า  สมัยหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะถูกพวกโจรประชาทัณฑ์  รุมกันทำร้ายพระเถระจนถึงแก่ความตาย (บุพกรรมเก่า) ทางการออกหมายจับพวกโจรที่ฆ่าพระเถระ เมื่อทางการจับโจรทั้งหมดได้ใช้วิธีประหารชีวิตด้วยการฝังโจรไว้ในดินให้เหลือแค่คอ  บางคนก็ให้สูงขึ้นมาหน่อย มากบ้างน้อยบ้าง แล้วไถด้วยโคและควายทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่ ศพอย่างนี้ลักษณะอย่างนี้แหละที่นำมาพิจารณา  เมื่อพระมหาโมคคัลลานะเถระมีฤทธิ์มาก  สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ทำไมท่านจึงต้องถูกทำร้ายถึงชีวิตได้  ท่านพระมหาโมคคัลลานะเถระ ท่านจัดว่าเป็นบุคคลที่เก่งในเรื่องการแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์  ครั้งแรกที่พวกโจรพยายามรวมหัวกันทำร้ายพระเถระ  พระเถระได้เหาะหนีออกไปทางหน้าต่าง  ครั้งที่สอง พวกโจรล้อมหน้าต่างล้อมทั้งหมดพระเถระเหาะลอยออกไปบนหลังคาสู่อากาศ   ด้วยเหตุสองประการนี้พระอรหันต์ไม่ได้หนีความตายแต่ไม่อยากให้พวกโจรได้สร้างกรรมหนัก  เมื่อพระเถระคิดทบทวนจึงนึกรู้ได้ว่ากรรมเก่าได้ตามมาจองเวรจึงถอดจิตไปเฝ้าพระบรมศาสดาและทูลลา  พระบรมศาสดาก็ทรงอนุญาต  พวกโจรเห็นพระเถระไม่หนีก็เข้าทำร้ายจนถึงแก่ความตาย  ด้วยกรรมของพวกโจรทั้งหลายที่ทำ (อนันตริยกรรม) จึงถูกทำลายชีวิตด้วยการไถชีวิตชนิดไม่เหลือซาก   การทรงอารมณ์ชนิดนี้ท่านให้พิจารณาแยกออกเป็นส่วน ๆ  นั่นเอง

 

 

๘.   โลหิตกอสุภ   ซากศพที่มีโลหิตไหลออกน่าเกลียด

              อสุภที่ชื่อ  โลหิตกะ  เพราะมีโลหิตเรี่ยราดไหลออกจากตรงนั้นบ้าง   ตรงนี้บ้าง   คำว่า โลหิตกะ นั่นเป็นคำเรียกซากศพอันเปื้อนโลหิตที่ไหลออก

 

๙.   ปุฬุวกอสุภ   ซากศพที่เต็มไปด้วยหนอนน่าเกลียด และ

              หนอนทั้งหลาย เรียกว่า  ปุฬุวะ  ปุฬุวะทั้งหลายคลาคล่ำอยู่ในอสุภนั่น   เหตุนั้น อสุภนั่นจึงชื่อปุฬุวกะคำว่าปุฬุวกะนั่นเป็นคำเรียกซากศพที่เต็มไปด้วยหนอน

 

๑๐.   อัฏฐิกอสุภ   ซากศพที่เป็นกระดูกน่าเกลียด

              กระดูกนั่นเองชื่อ  อัฏฐิกะ นัยหนึ่ง กระดูกจัดว่าเป็นของน่าเกลียด เพราะเป็นสิ่งปฏิกูล เหตุนั้นจึงชื่อ อัฏฐิกะ   คำว่า  อัฏฐิกะ นั่นเป็นคำเรียกร่างกระดูกก็ได้ กระดูกท่อนเดียวก็ได้   ก็แล คำทั้งหลายมีคำว่า อุทธุมาตกะ เป็นต้นเหล่านั้นแล เป็นชื่อแห่งนิมิตอันอาศัยอสุภมี อุทธุมาตกอสุภ  เป็นอาทิเหล่านี้เกิดขึ้นก็ได้   เป็นชื่อแห่งฌานอันพระโยคาวจรได้ในนิมิตทั้งหลายก็ได้

 

สัญญามี  ๕  ลักษณะ

              ส่วนทสกนิบาต  อังคุตตรนิกาย  ทรงแสดงไว้โดยเป็นสัญญามี  ๕  ลักษณะดังนี้

              ๑.   อัฏฐิกสัญญา                  กำหนดหมายกระดูก

              ๒.   ปุฬุวสัญญา                    กำหนดหมายหมู่หนอนไชศพ

              ๓.   วินีลกสัญญา         กำหนดหมายศพขึ้นพองเขียว

              ๔.   วิฉินทกสัญญา                กำหนดหมายศพที่เป็นท่อน ๆ

              ๕.   อุทธุมาตกสัญญา            กำหนดหมายศพขึ้นอืด

              พระโบราณาจารย์คงประมวลเอาลักษณะที่ใกล้กันรวมเป็นลักษณะเดียวและเพิ่มลักษณะบางอย่างซึ่งน่าจะมีการรวมเป็น  ๑๐  ลักษณะ  อย่างไรก็ตามจุดมุ่งหมายของการพิจารณาอสุภะอยู่ที่ให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในความจริงของอัตภาพ  โดยมีอสุภะเป็นประจักษ์พยานเท่านั้นจะใช้อสุภะในลักษณะใดก็ได้  แม้ที่สุดแต่แผลในตัวของตัวซึ่งเกิดจากเหตุต่าง ๆ  ก็นำมาพิจารณาเป็นอสุภะได้

              วิธีปฏิบัติในเรื่องนี้  ท่านแนะนำไว้หลายปริยายตามสมควรแก่ อสุภะนั้น ๆ ประมวลแล้วเป็น  ดังนี้

              ๑.   ไปพิจารณาอสุภะในป่าช้า  หรือในที่ใดที่หนึ่งซึ่งมี อสุภะ ถ้าศพนั้นยังบริบูรณ์ต้องเป็นเพศเดียวกันจึงจะไม่เกิดโทษ เมื่อได้นิมิตแล้ว พึงกลับมานั่งนึกภาพอสุภะนั้นในที่อยู่ให้แจ่มชัดในห้วงนึกยิ่งขึ้น

              ๒.   ไปนำเอาอสุภะที่พอนำมาได้  ประดิษฐานไว้ในที่อันสมควรแล้ว เพ่งพิจารณาให้เกิดภาพติดตานึกเห็นได้โดยนัยข้อ ๑.

              ๓.   นึกหมายภาพ  อสุภะ* ขึ้นในใจ ให้ปรากฏเป็นภาพที่น่าเบื่อหน่ายในห้วงนึกของ
ตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปดูอสุภะก็ได้ (แล้วพิจารณา ถึงอนุสติ ๑๐ ว่าเป็นสิ่งที่ให้คุณนานัปการ) อนุสติ คือการนึกถึงบุคคลและธรรมหรือความจริงอันจะก่อให้เกิดความเลื่อมใส ความซาบซึ้งเหตุผล หรือความสงบใจอันใดอันหนึ่ง   เป็นอุบายวิธีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางไว้ ให้สาธุชนทั่วไป  ทั้งบรรพชิต  ทั้งคฤหัสถ์ก็ปฏิบัติได้สะดวก แม้จะมีภารกิจในการครองชีพ หรือธุรกิจของหมู่คณะ ของพระศาสนาล้นมือก็อาจปฏิบัติได้เพราะเป็นอารมณ์ที่หาได้ง่ายสะดวกสบาย

 

ประโยชน์ของการพิจารณา อสุภ

           การตั้งสติกำหนดรู้อสุภ  ๙    ก็เพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า   แม้ร่างกายนี้ต้องเป็นเช่นนั้น ไม่ล่วงความเป็นเช่นนั้นไปได้ ต่างกันก็แต่ระยะกาลเร็วหรือช้า ถึงอย่างไรก็ดี หนีจากความเป็นเช่นนั้นไปไม่ได้ เมื่อมากำหนดรู้ร่างกายนี้ตามเป็นจริงได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องสะดุ้งหวาด เพราะเรื่องของร่างกายต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกันหมด ไม่ยกเว้น แต่นั่นไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ใคร ๆ เป็นเรื่องของร่างกายต่างหาก เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ไม่น่ากลัวอย่างไรเลย หากแต่เมื่อเข้าใจผิดว่าร่างกายนี้เป็นตัว เป็นของเรา เป็นของเรา เป็นของเขาอยู่ ครั้งถึงคราวต้องเป็นเช่นนั้น ความรู้ผิดก็เกิดขึ้นรับรองว่า เราเป็นเช่นนั้น เขาเป็นเช่นนั้น นั่นแลพึงทราบเถิดว่า เราตายแน่ เขาตายแน่ และก็น่ากลัวน่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก เพราะความรู้ผิดเช่นนั้นไม่พ้นออกไปจากความตายเป็นต้นได้ แม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท ไม่อาจพ้นจากความตาย  เพราะความประมาทเป็นทางแห่งความตาย [3]

          ซากศพนั้นมีสภาพอย่างไร เมื่อตายแล้วจากความเป็นคนหรือสัตว์ เราเรียกกันว่าผีตาย มีสภาพอย่างไรเมื่อตาย แม้ยังไม่ตายสิ่งเหล่านั้นก็มีครบ พิจารณาคนที่เรารักมีสภาพอย่างนั้น ใคร่ครวญให้เห็นติดอกติดใจจนกระทั่งเห็นสภาพของผู้ใดก็ตาม มีความรู้สึกว่าเป็นซากศพทันที เห็นคนหรือสัตว์มีสภาพเป็นซากศพไปหมด เต็มไปด้วยความรังเกียจ เห็นผิวภายนอกก็มองเห็นภายใน คือเห็นเป็นสภาพถุงน้ำเลือด ถุงอุจจาระ ปัสสาวะที่เคลื่อนที่ได้ ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นซากศพที่มีร่างกายอืดพอง น้ำเหลืองไหล เราก็เช่นเดียวกัน เขามีสภาพเช่นไร เราก็มีสภาพเช่นนั้น กายนี้ล้วนแต่เป็นอนิจจัง หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย เมื่อไม่เที่ยงอย่างนี้เป็นทุกขัง ความทุกข์อันเกิดแต่ความเคลื่อนไปหาความเสื่อมอย่างนี้ เป็นอนัตตา เพราะเราจะบังคับควบคุมไม่ให้เคลื่อนไปไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฎธรรมดา

      พิจารณาเห็นโทษเห็นทุกข์อันเกิดแต่ร่างกาย เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในร่างกายของตนเองและผู้อื่น เห็นเมื่อไหร่เบื่อหน่ายหมดความพอใจเมื่อนั้น เห็นคนมีสภาพเป็นศพทุกขณะที่เห็นอย่างนี้ เรียกว่า ได้้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนา

      อารมณ์ ที่เห็นว่า ร่างกายนอกจากจะโสโครกน่าสะอิดสะเอียนแล้ว เบื่อหน่ายในการทรงสังขาร เบื่อที่จะเกิดต่อไป เพราะถ้าเกิดมีร่างกายในภาพใด ร่างกายก็จะมีสภาพโสโครกสกปรก เป็นซากศพและไม่เที่ยง เป็นทุกข์บังคับไม่ได้ เบื่อในการเกิด เป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ ใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป วางใจเฉยเพราะนี่เป็นเรื่องธรรมดา ที่เกิดมาก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย มีลาภแล้วก็เสื่อมได้ มียศก็เสื่อมได้ มีสุขก็ทุกข์ได้ มีสรรเสริญก็มีนินทาได้ เกิดแล้วก็ต้องตายได้ ทุกอย่างมันธรรมดา จนจิตชินต่ออารมณ์ มีทุกข์ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ ไม่หวั่นไหว เรียกว่า ได้สังขารุเปกขาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว หมั่นคิดว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย มีจิตใจศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จิตว่างจากกรรมชั่วครู่ คือรักษาศีล 5 ได้เป็นปกติ มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นปกติ ใคร่ครวญปรารถนาแต่พระนิพพาน ไม่ต้องการเกิดต่อไป อย่างนี้ท่่านว่า ทรงคุณได้ในระดับพระโสดาบัน

      ฉะนั้น ขอให้ท่านที่ปฏิบัติในอสุภกรรมฐานจงพยายามกำหนดพิจารณาให้ขึ้นใจจนได้ปฏิภาคนิมิตในที่สุด และรักษานิมิตนั้นไว้อย่าให้เสื่อมไป ยกเอานิมิตนั้นขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนาญาณ ท่านจะเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ภายในไม่ช้าเลย การพิจารณาอย่างนี้เรียกว่า พิจารณากำหนดรู้[4]

              พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อมตธรรมแล้ว มีพระมหากรุณาปรารถนาให้ประชานิกรเป็นผู้ไม่ประมาท   จึงประทานพระพุทธานุศาสนีไว้เป็นอเนกประการ   ซึ่งรวมลงเป็นหนึ่ง คือ ความไม่ประมาทแต่อย่างเดียวเท่านั้น ข้อนี้จะพึงเห็นตามพระปัจฉิมโอวาท ที่ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาใกล้เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยใจความว่า

              สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญประโยชน์ให้ถึงพร้อมเถิด คือประโยชน์ปัจจุบัน มีผลเห็นทันตา ประโยชน์ชั้นเยี่ยม พ้นออกไปจากกองทุกข์ทั้งมวล ด้วยความไม่ประมาท คือมีสติทุกลมหายใจเข้าออก ทุกอิริยาบถ ทุกวิการแห่งร่างกาย ไม่ให้เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่ในเรื่องของร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดความยินดียินร้ายจนเกินกว่าเหตุตามเป็นจริง ความดีสิ่งใดที่ยังไม่ได้บำเพ็ญ ก็ควรรีบเร่งบำเพ็ญความดีอย่างนั้นตามกำลังความสามารถ ส่วนความดีอย่างใดที่มีอยู่แล้ว ก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างนั้นไว้ให้คงที่หรือเจริญทวียิ่งขึ้นไป อย่าได้พลั้งเผลอไว้วางใจในร่างกายนี้ หากยังจะมีภพชาติต่อไป ก็จะอำนวยผลเป็นภพที่ดีชาติที่ดีได้ แม้ยังต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารก็ตาม นั่นก็เป็นเรื่องของสังขารตามธรรมดา เมื่อมีสติกำกับอยู่ ก็จะรู้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา และสตินี้เองเมื่อมีบริบูรณ์เต็มที่ ก็จะหายยินดียินร้าย และไม่ตายทุกขณะที่มีสติประจำอยู่ความรู้เห็นว่าไม่ตายแม้ขณะหนึ่งนี้แล  จะเป็นปัจจัยให้รู้เห็นความไม่ตายที่เที่ยงแท้ไม่กลับเกิดอีกต่อไปในอวสานด้วยประการฉะนี้

 

สรุป

           อสุภ   คือการเจริญกรรมฐาน เป็นการทำกรรมฐานชนิดหนึ่ง ที่พระบรมศาสดาได้ทรง
สั่งสอนให้พระสงฆ์สาวกและบุคคลทั่วไปได้ประพฤติปฏิบัติ ตามเป็นการทำให้ใจของผู้ปฏิบัติ คลายจากความกำหนัด เป็นไปเพื่อความดับทุกข์  อสุภกรรมฐานนี้ถือเป็นการงานอย่างยอดเยี่ยมในการที่จะ ลด ละ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นในกองแห่งสังขาร อันเป็นต้นเหตุ แห่งการสร้างภพสร้างชาติ  อสุภมี  ๑๐  อย่างดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

              การพิจารณาให้เห็นเป็นของไม่งามนั้นท่านให้ ผู้มีกามราคะกำหนัดยินดีเป็นผู้นำหลักการนี้ไปพิจารณา

              พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อมตธรรมแล้ว มีพระมหากรุณาปรารถนาให้ประชานิกรเป็นผู้ไม่ประมาท จึงประทานพระพุทธานุศาสนีไว้เป็นอเนกประการ ซึ่งรวมลงเป็นหนึ่งคือความไม่ประมาทแต่อย่างเดียวเท่านั้น ข้อนี้จะพึงเห็นตามพระปัจฉิมโอวาท ที่ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาใกล้เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยใจความว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา   ท่านทั้งหลายจงบำเพ็ญประโยชน์ให้ถึงพร้อมเถิด คือประโยชน์ปัจจุบันมีผลเห็นทันตา  ประโยชน์ชั้นเยี่ยม พ้นออกไปจากกองทุกข์ทั้งมวล ด้วยความไม่ประมาท คือมีสติทุกลมหายใจเข้าออก  ทุกอิริยาบถ   ทุกวิการแห่งร่างกาย   อย่าได้เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่ในเรื่องของร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดความยินดียินร้ายจนเกินกว่าเหตุตามเป็นจริง   ความดีอย่างใดที่ยังไม่ได้บำเพ็ญ ก็ควรรีบเร่งบำเพ็ญความดีอย่างนั้นตามกำลังความสามารถ ส่วนความดีอย่างใดที่มีอยู่แล้ว ก็ตั้งใจรักษาความดีอย่างนั้นไว้ให้คงที่หรือเจริญทวียิ่งขึ้นไป อย่าได้พลั้งเผลอไว้วางใจในร่างกายนี้   หากยังจะมีภพชาติต่อไป ก็จะอำนวยผลเป็นภพดีชาติดี

 

 

แบบฝึกหัดประจำบทที่  ๕

 

๑.   จงให้ความหมายคำว่า  อสุภ คืออะไร ?   จงแสดงทัศนะของกามคุณ  ๕  มาพอเข้าใจ ?

๒.   จงอธิบายถึง ตัณหา ๓ ว่ามีอะไรบ้าง ?   เมื่อจะกำจัดตัณหาสามมีวิธีใดบ้าง อธิบาย

๓.   จงอธิบายถึงอสุภกรรมฐานที่ท่านอยากปฏิบัติมาให้ดูสัก  ๒  ข้อ   เพราะเหตุใด ?

๔.   จงแสดงถึงลักษณะ อสุภะ ๙  อธิบายมาให้เข้าใจ ?

๕.   จงอธิบายลักษณะของสัญญาว่ามีเท่าไร ?   อะไรบ้าง ?

๖.   จงกล่าวถึงประโยชน์ของการพิจารณา อสุภกรรมฐานมาพอเข้าใจ?   พร้อมกับแสดง

              ความหมายของคำว่า โยนิโสมนสิการ มาให้เข้าใจ ?

๗.   เมื่อเรารู้ว่าตัวเองยึดติดนาม รูป เราควรจะนำหลักธรรมในข้อใดขึ้นมาพิจารณา อธิบาย

๘. จงอธิบายคำว่า  วิปุพพะ ว่ามีลักษณะอย่างไร   มีวิธีการพิจารณาหัวข้อธรรมนี้อย่างไร ?

 

 

หนังสืออ้างอิงและอ่านประกอบ

 

๑.    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ  อาสภมหาเถร), คัมภีร์วิสุทธิมรรค, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์

      บริษัทประยูรวงศ์พริ้นติ้ง๒๕๔๗).

๒.    ทางไม่ตาย (วัดราชาธิวาส),  (กรุงเทพฯ  : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย๒๕๒๒).

      ๓      พระอริยคุณาธาร  (ปุสฺโส  เส็ง  ป.ธ.๖)ทิพยอำนาจ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎ

              ราชวิทยาลัย๒๕๔๘).

 

 

 

 

        

 

 



[1] สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ  อาสภมหาเถร),  คัมภีร์วิสุทธิมรรค, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัท

ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง,  ๒๕๔๗),  หน้า  ๑๘๓.

[2] คัมภีร์วิสุทธิมรรค,  เรื่องเดียวกัน,  หน้า  ๓๑๕ ๓๑๗.

* จากข้อ  ๓ - ๑๐  นี้ข้าพเจ้าคัดย่อจากหนังสือทิพยอำนาจให้ดูในบทอนุสสติ ๑๐ เพิ่มเติม

[3] ทางไม่ตาย   (วัดราชาธิวาส)(กรุงเทพฯ  : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,  ๒๕๒๒), 

หน้า  ๑๗๐ ๑๗๑.

ความคิดเห็น